nn แผนปฏิรูปประเทศด้านต่างๆดูจะห่างหายไปจากหน้าสื่อ...เช่นเดียวกันแผนการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ...ที่ไม่ค่อยเห็นเหมือนกัน...แต่ใช่ว่าอะไรๆ มันจะลงตัวเรียบร้อย...จริงแล้วยังฝุ่นคลุ้งกันอยู่ข้างใน...ทำเอารัฐวิสาหกิจหลายแห่งหายใจไม่ทั่วท้องกลัวว่าองค์กรอันเป็นที่รักของตนจะอยู่ไม่รอด... เช่น สองรัฐวิสาหกิจด้านสื่อสารของประเทศ ที่ “แนวหน้า” ตามดูมาตลอด....ทั้งบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) และ กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ที่กำลังเผชิญปัญหาไม่ต่างกัน.... แม้ก่อนหน้านี้บริษัททีโอทีเพิ่งจะลงนามกับพันธมิตรธุรกิจกับ บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ในสัญญาเช่าเครื่องและอุปกรณ์เพื่อให้บริการโทรคมนาคมข้ามโครงข่ายบนคลื่น 2100 เมกะเฮิรตซ์ (โรมมิ่ง) ที่จะทำให้ทีโอทีมีรายได้ปีละ 3,600-3,900 ล้านบาท และยังมีแผนจะเซ็นสัญญากับบริษัท ดีแทคไตรเนต อีกสัญญาที่คาดจะทำรายได้ให้แก่องค์กรไม่น้อยกว่าปีละ 3,600 ล้านบาท...แต่ล่าสุดแผนสวยหรูของสองหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่จะนำเอาทรัพย์สินที่ได้รับมอบตามสัญญาสัมปทาน BTO ไปจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับภาคเอกชนตามนโยบาย “พีพีพี” โดยทีโอทีนั้นมีแผนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับเอไอเอส นำเอาเสาโทรคมนาคมและอุปกรณ์ของทีโอที 12,000 ต้น และของพันธมิตรเอไอเอส 13,000 ต้นไปร่วมทุน ส่วน กสท ก็มีแผนนำเอาเสาและอุปกรณ์โทรคมนาคมที่มีอยู่ 20,000 ต้น ไปจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับทรูมูฟและดีแทค โดยทั้งทีโอที และแคท จะถือหุ้นในสัดส่วน 49% เอกชน 51% เพื่อให้เกิดความคล่องตัว...แต่ตอนนี้ “แผนร่วมทุนดังกล่าวจ่อสะดุดตอ”...บทบัญญัติรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 56 ที่ระบุว่า “รัฐต้องจัดหาหรือดําเนินการให้มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐจะกระทําด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชน หรือทําให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่า 51% มิได้”...เจอแบบนี้ผู้บริหารสองหน่วยรัฐวิสาหกิจแทบไปไม่เป็น... ก่อนจะส่งเรื่องหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อวินิจฉัยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าวครอบคลุมถึงเสาและอุปกรณ์โทรคมนาคมด้วยหรือไม่ จะถือว่าเป็นกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่ห้ามนำไปแสวงหาประโยชน์หรือให้เอกชนมีกรรมสิทธิ์มากกว่ารัฐด้วยหรือไม่....แต่คำตอบที่ได้รับคือ...ยังไร้บทสรุป...เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกา...แนะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อนจะดีกว่า....และตอนนี้ก็ยังติดปัญหาขึ้นมาอีกว่าตกลงแล้วหน่วยงานใดจะเป็นผู้เสนอให้ศาลตีความ ทีโอที-แคท หรือกระทรวงดีอีเอง...!!ไม่รู้การกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร และมีขอบเขตครอบคลุมไปกว้างขวางถึงไหน กิจการสาธารณูปโภค สาธารณูปการนั้นครอบคลุมไปถึงเสาสัญญาณโทรคมนาคมและอุปกรณ์ด้วยหรือไม่….แต่หากยึดถือเกณฑ์นี้ประเภทหากเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานแล้วห้ามรัฐกระทำการใดๆ ที่จะทำให้กิจการดังกล่าวตกไปเป็นกรรมสิทธิ์เอกชน หรือทำให้ความเป็นเจ้าของฟากรัฐต่ำกว่า 51% แล้ว ก็มีหวัง บรรดาโครงการเมกะโปรเจกท์ของรัฐทั้งโครงการมอเตอร์เวย์ 2 สาย คือ บางปะอิน-โคราช และบางใหญ่-กาญจนบุรี มูลค่ากว่า1.5 แสนล้าน รถไฟความเร็วสูง “ไฮสปีดเทรน” หรือบรรดารถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ที่รัฐมีนโยบายจะดึงเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน รับสัมปทานบริหารจัดการหรือสัมปทานลงทุนใดๆ ในอนาคตอันใกล้นั้น มีหวังได้สะดุดตอกันเป็นทิวแถว.... คงไม่มีโครงการใดฝ่าปราการเหล็กของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไปได้แน่…นโยบายในอันที่จะดึงนักลงทุนไทย-เทศเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการของรัฐตามนโยบาย “พีพีพี” ในอนาคตอันใกล้มีหวังได้ “เอวังด้วยประการละฉะนี้” เป็นแน่!!!...nn
กระบองเพชร
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี