นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา “Thailand Taking off to New Height” จัดโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) ว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสามารถดูแลสถานการณ์การเมืองให้มีเสถียรภาพ ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา พบว่าเติบโตที่ 4% จากระดับ 2.8% เมื่อปี 2558 การส่งออกขยายตัว มูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) อยู่ที่ประมาณ 600,000 ล้านบาท และในปี 2560 จากเดิม 190,000 ล้านบาท ในปี 2558 โดยคาดว่าปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 700,000 ล้านบาท
ส่วนทิศทางการส่งเสริมการลงทุนของไทยนับจากนี้ไปจะพัฒนาไปสู่โฉมหน้าใหม่และเศรษฐกิจยุคใหม่ในระดับที่พัฒนาขึ้น รวมถึงพร้อมเป็นศูนย์กลางการลงทุนการคมนาคมขนส่ง และการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมความพร้อมสำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่าน 3 ยุทธศาสตร์สำคัญได้แก่ 1) โครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะช่วยยกระดับสมรรถนะของโครงสร้างพื้นฐานทางด้านกายภาพของประเทศเช่น โครงการรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โครงการรถไฟฟ้าในต่างจังหวัด โครงการรถไฟทางคู่ เชื่อมโยงการขนส่งทั้งภาคเหนือ กลาง อีสาน และใต้ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมโยงภูมิภาค รวมถึงโครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะ 3 โครงการพัฒนาท่าอากาศยานภูเก็ต ระยะที่ 2 และท่าอากาศยานเชียงใหม่ ระยะที่ 1 รวมถึงโครงการลงทุนด้านพลังงาน
2) กลุ่มโครงการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รัฐบาลตั้งเป้าหมายพัฒนาให้เกิดการเชื่อมโยงระบบโลจิสติกส์แบบไร้รอยต่อในภูมิภาคทั้งทางบก น้ำ และอากาศ ในพื้นที่ EEC และพื้นที่ใกล้เคียง เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง เชื่อม 3 สนามบิน, การยกระดับสนามบินอู่ตะเภาให้เป็นศูนย์กลางและเมืองการบินของภูมิภาค และการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง, โครงการท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก EECi เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย Thailand 4.0
และ 3) กลุ่มโครงการเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัล เช่น การลงทุนในระบบอินเตอร์เนตหมู่บ้าน ขณะนี้รัฐบาลได้ริเริ่มโครงการลงทุนเคเบิลใต้น้ำ เชื่อมโยง ไทย ฮ่องกง จีน เพื่อให้ไทยเป็นอินเตอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ ในระดับภูมิภาค และการสร้างและพัฒนาดิจิทัลเทรดดิ้ง และการขับเคลื่อนภาคการผลิตและภาคบริการให้เกิดความตื่นตัวเรียนรู้และสามารถเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัลเทคโนโลยีได้ในที่สุด รวมถึงการก้าวสู่บริการของภาครัฐในแบบสมัยใหม่ (e-Government) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการแก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
“มั่นใจว่า 3-4 ปี นับจากนี้ไป เป็นช่วงของการพลิกโฉมประเทศครั้งสำคัญไปสู่ระบบเศรษฐกิจยุคใหม่อย่างแท้จริง โดยทุกโครงการรัฐบาลมีนโยบายที่จะให้ภาคเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เข้ามามีส่วนร่วมกับเรา เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบไปไกลกว่า 4% เป็นการเติบโตอย่างมีศักยภาพและมั่นคง”
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รมช.คมนาคม กล่าวว่าโครงข่ายของระบบขนส่งคมนาคมจะต้องสนับสนุนและเชื่อมต่อกันอย่างไร้รอยต่อเป็น “One Seamless Transport” ปีนี้กระทรวงคมนาคมมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานรวม 44 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 60,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2.02 ล้านล้านบาท
นายคณิต แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) กล่าวว่าหลังจาก พ.ร.บ.เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ส่งผลให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและเห็นภารกิจที่ชัดเจนของ EEC คาดว่าปีนี้จะมีการลงทุนใน EEC เพิ่มเป็น 300,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 200,000 ล้านบาท ในช่วง 5 ปีนับจากนี้
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เร็วๆ นี้มีแผนเตรียมเดินทางไปชักจูงการลงทุน (โรดโชว์) ที่ประเทศบังกลาเทศ ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ เพื่อนำเสนอแนวทางการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
นายอุตตม สาวนายน รมว.อุตสาหกรรมกล่าวว่า ปัจจุบันไทยกำลังปฏิรูปประเทศและมีแผนอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งต้องทำงานร่วมกันทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยตั้งเป้าภายในปี 2561 จะยกระดับเอสเอ็มอี และช่วยลดต้นทุนผู้ประกอบการ 10% ให้ได้ 1 หมื่นราย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี