27 มี.ค.61 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)ราชพัสดุ และร่างพ.ร.บ.การประมูลค่าทรัพย์สิน เพื่อประโยชน์แห่งรัฐ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ สืบเนื่องจากพ.ร.บ.ราชพัสดุใช้มาตั้งแต่ปี 2518 และยังมีกฎหมายอื่นอีกหลายฉบับที่มีข้อกำหนดยกเว้น ให้หน่วยงานหรือองค์กรของรัฐบางแห่งมีอำนาจในการปกครองดูแล บำรุงรักษา และจัดหาประโยชน์ที่เกี่ยวกับที่ราชพัสดุ แทนที่จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลัง จึงจำเป็นต้องปรับปรุงร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวให้มีความรัดกุม
โดยมีการแก้ไขในประเด็นกำหนดบทนิยามคำว่า”ที่ราชพัสดุ” ให้มีความชัดเจน กินใจความรวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ที่ตั้งอยู่นอกราชอาณาจักร อาทิ สถานทูตต่างๆ อีกทั้งยังดำหนดให้พื้นที่ลักษณะอย่างไร ที่ไม่ถือว่า เป็นที่ราชพัสดุ เช่น ที่รกร้างว่างเปล่า หรือพื้นที่สาธารณสมบัติที่พลเมืองใช้ร่วมกัน รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ขององค์กรมหาชน รัฐวิสาหกิจ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการที่ราชพัสดุเพิ่มอีก 3 ราย พร้อมกำหนดเพิ่มเติมว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่ราชพัสดุ ต้องตราเป็นพ.ร.บ.เพื่อให้เกิดความรอบคอบรัดกุม แต่หากปรับเป็นที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ร่วมกันสามารถตราเป็นพระราชกฤษฎีกาได้
พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า การจัดหาประโยชน์ในที่ราชพัสดุ ให้ถือว่า ไม่เป็นไปตามพ.ร.บ.ร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) เว้นเสียแต่ว่า คณะกรรมการพีพีพี จะกำหนดว่า กิจการแบบใดบ้าง ที่ถือว่า เป็นการร่วมลงทุน ซึ่งบางกรณีเป็นการเช่นที่ดินที่ไม่ได้มีความซับซ้อน แต่เมื่อไรก็ตามที่มีการนำทรัพย์สินอย่างอื่นเข้าไปร่วม หรือมีความซับซ้อนเกิดขึ้น ต้องยึดตามพ.ร.บ.พีพีพี และกำหนดเพิ่มเติมว่า การจัดหาประโยชน์ในที่ดินราชพัสดุ มีมูลค่าเกิอนกว่า 5 พันล้านบาท ต้องได้รับคามเห็นชอบจากคณะกรรมการที่ราชพัสดุก่อน
นอกจากนี้หน่วยงานใดก็ตามที่มีการปกครองดูแล บำรุงรักษาที่ราชพัสดุ ให้หน่วยงานนั้น รายงานการใช้ประโยชน์แก่กรมธนารักษ์ทุก 2 ปี ใครก็ตามที่เข้าไปยึดครอง หรือก่อสร้าง แล้วก่อให้เกิดความเสื่อมสภาพต่อที่ดิน หรือทรัพยากร ให้มีโทษจำคุกไมเกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่น หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่หากกระทำการในเนื้อที่เกินกว่า 50ไร่ ให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนร่างพ.รบ.การประเมินมูลค่าทรัพย์สินเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ แต่เดิมการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน เป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน แต่ภายหลังการออกพ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม ปี 2545 ได้เปลี่ยนอำนาจหน้าที่เป็นของกรมธนารักษ์ แต่ยังไม่มีกฎหมายรองรับ จึงจำเป็นต้องออกร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ให้ตรงกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ โดยมีคณะกรรมการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ที่มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน พร้อมกำหนดให้มีคณะกรมการประเมินมูลค่าทรัพย์สินในระดับจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดมูลค่าของทรัพย์สิน
"ที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างในเขตที่รับผิดชอบ และจัดทำบัญชีกำหนดมูลค่าประเมิน รวมทั้งแผนที่ประกอบการประเมิน โดยให้กรมธนารักษ์มีหน้าที่จัดให้มีข้อมูลดังกล่าว เพื่อประกาศให้ประชาชนรับทราบ เริ่มใช้บัญชีตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.แต่ให้ประกาศก่อนเริ่มใช้ 30 วัน เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจดูว่า ราคาที่ประเมินนั้นสอดคล้องความเป็นจริงหรือไม่ หากไม่เป็นไปตามนั้น ก็มีสิทธิ์ร้องคัดค้านต่อคณะกรรมการได้ ซึ่งบัญชีดังกล่าวมีอายุการใช้งาน 4 ปี" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี