CEO ปตท.แจง
ราคาน้ำมันใกล้เคียงปั๊มอื่น
ไม่ได้เอาเปรียบผู้บริโภค
ส่งฝ่ายกฎหมายตามฟ้อง
พวกมือบอนใส่ร้ายป้ายสี
“เทวินทร์ วงศ์วานิช” ระบุ ปตท.ต้องดูแล ความมั่นคงด้านพลังงาน และตอบสนองสังคมให้สมดุลกันยืนยัน ไม่เคยเอาเปรียบผู้บริโภค เพราะไม่ต้องการให้ประชาชนเดือดร้อน ระบุราคาน้ำมันไม่ได้แพงไปกว่าปั๊มอื่นๆ
ส่งฝ่ายกฎหมายฟ้องพวกมือบอนใส่ร้ายป้ายสี
เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม นายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด ( มหาชน ) กล่าวว่า ได้ให้ฝ่ายกฎหมายของปตท. ดำเนินการทางกฎหมายกับคนที่ตั้งใจส่งข้อความเท็จและให้มีการแชร์เพจกล่าวหาว่าปตท.ฉ้อฉล และข้อความต่างๆเช่น ต่อต้านการเติมน้ำมัน ปตท. เพื่อให้คนที่ตั้งใจส่งข้อมูลเท็จเหล่านี้ได้รับการลงโทษตามกฎหมาย และเพื่อจะได้มีวินัยในการส่งข้อมูลที่ถูกต้อง
ราคาขายปลีกน้ำมันของปตท. ต่ำกว่าปั๊มน้ำมันต่างชาติ จากสถิติในปี 2560 ปตท. มีการปรับราคาน้ำมันขึ้น 21 ครั้งและปรับราคาน้ำมันลง 21 ครั้ง ขายน้ำมันราคาต่ำกว่าปั๊มต่างชาติ 20 วัน จากทั้งหมด 365 วัน และไม่เคยขายน้ำมันในราคาที่แพงกว่าปั๊มอื่น โดยเฉพาะในช่วง 2 เดือน ตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนถึง 28 พฤษภาคม 2561 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น ปตท.ปรับราคาน้ำมันขึ้น 6 ครั้ง และปรับราคาน้ำมันลง 1 ครั้ง ราคาขายปลีกต่ำกว่าราคาปั๊มน้ำมันต่างชาติอยู่ 9 วัน ปตท. ยืนยันว่า ไม่เคยเอาเปรียบผู้บริโภค
ส่วนกระแสต่อต้านการเติมน้ำมัน ปตท.นั้น นายเทวินทร์ กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ทำให้ปตท.กำไรน้อยลง เพราะสัดส่วนรายได้น้ำมัน และ นอน-ออยล์ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 10 นอกจากนี้ปั้มน้ำมันปตท.จาก 1,500 แห่ง ประมาณร้อยละ 90 ดำเนินการโดยดีลเลอร์ค้าน้ำมัน ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายย่อย มีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ที่ปตท. ดำเนินการเอง โดยเป็นห่วงดีลเลอร์ว่าจะได้รับผลกระทบ จึงให้มีการรวบรวมข้อมูล และยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะกระทบต่อยอดขายอย่างไร
“ยอมรับเป็นห่วงดีลเลอร์ทุกคนไม่ค่อยสบายใจจึงต้องออกมาชี้แจง เพราะหากผู้บริโภคจะไม่เติมน้ำมันปั๊มปตท. เพราะบริการไม่ดี คุณภาพน้ำมันไม่ดี ก็พอจะเข้าใจได้ แต่หากเกิดจากความเข้าใจผิด เราก็ต้องชี้แจง เพราะทุกคนเป็นครอบครัว ปตท. รวมทั้งขอยืนยันด้วยว่าจะไม่มีการปลดพนักงาน ตามที่มีผู้ไม่หวังดีออกมาโจมตี”นายเทวินทร์ กล่าว
นายเทวินทร์กล่าวว่า การที่มีผู้ไม่หวังดีออกมาโจมตีผลกำไรของปตท.จำนวน130,000ล้านบาทนั้น ขอชี้แจงว่าธุรกิจน้ำมันเป็นธุรกิจที่มีการลงทุนสูง ปตท.มีสินทรัพย์ 2.3 ล้านล้านบาท มียอดขาย 2 ล้านล้านบาทต่อปี มีกำไร 130,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA )ร้อยละ 6.7 ซึ่งหากเทียบกับบริษัทชั้นนำ ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของการทำธุรกิจทั่วไป แม้ปตท.จะเป็นบริษัทน้ำมัน แต่ก็ไม่อยากเห็นราคาน้ำมันสูง เพราะคนไทยจะเดือดร้อน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมัน ปตท.ต้องดูแลความมั่นคงด้านพลังงานและตอบสนองสังคมให้สมดุลกัน
วันเดียวกัน ที่ศูนย์บริการประชาชน บริเวณสำนักงานก.พ.นายณัฏฐ์นน ศรีก่อเกื้อ ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยาง 4 อำเภอ จ.สงขลา เจ้าของคลิป“หนุ่มสงขลา พูดแทนใจคนไทยทั้งประเทศเรื่องราคาน้ำมัน” ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.เพื่อสอบถามและให้คำแนะนำเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น โดยอ้างราคาน้ำมันในตลาดโลกทำให้ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศปรับขึ้นถึง 30.17 แต่ในประเทศมาเลเซียอยู่ที่ลิตรละ 17 บาท จึงอยากถามว่า ราคาตลาดโลกมีผลต่อราคายางพาราจริงหรือไม่ ประเทศไทยผลิตน้ำมันได้ปีละเท่าไหร่ การปรับขึ้นราคาครั้งล่าสุดมีการบิดเบือนราคาน้ำมันโดยใช้เงินกองทุนน้ำมันหรือไม่ พร้อมทั้งอยากเสนอให้ ตรวจสอบปริมาณน้ำมัน การน้ำเข้า ส่งออกและใช้ภายในประเทศด้วยข้อมูลที่ชัดเจน ทบทวนระบบภาษีต่างๆที่จัดเก็บให้มีความเหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน และส่งเสริมการใช้ใบโอดีเซลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร คำถามและข้อเสนอแนะทั้งหมดได้มาจากการรวมรวมความเห็นของประชาชน จึงขอให้นายกฯเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน
ด้าน สถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ หรือ เอยูโพล เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจ เรื่อง ดัชนีความเครียดของคนไทย เดือน พ.ค. ในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่นและสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,008 ตัวอย่าง พบว่า คนไทย มีความเครียดคล้ายคลึงกับการมากกว่าเรื่องอื่นๆร้อยละ 65.64รองลงมา คือ เรื่องสภาพแวดล้อม ร้อยละ 52.59และเรื่องสุขภาพ ร้อยละ43.48 เป็นต้น ประเด็นที่น่าเป็นห่วง เมื่อพิจารณาความเครียดของคนในแต่ละวัยพบว่า คนไทยตั้งแต่วัยเรียน วัยทำงาน จนถึงวัยชรา อายุ 18 ปีขึ้นไป ต่างก็มีความเครียดในเรื่องนี้จะคาดการณ์ว่า แนวโน้มสภาพเศรษฐกิจไทยในปี 2561จะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่จากสภาพความเป็นจริง ที่คนไทยกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพที่นับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ราคาน้ำมันและก๊าซที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องฯลฯส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการต่างจ่อคิวเริ่มจะขยับขอปรับราคาขึ้นซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จึงไม่แปลกที่คนไทยส่วนใหญ่ จะรู้สึกกังวลและอดที่จะเครียดไม่ได้ว่า สภาพเศรษฐกิจในปีนี้จะดีขึ้นอย่างที่หลายหน่วยงานคาดการณ์ไว้จริงหรือ
จาก เรื่องสภาพเศรษฐกิจแล้ว รองลงมา คนไทยยังเครียด ในเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆไม่ว่าจะเป็นปัญหาการจราจร ร้อยละ 63.60 ปัญหาสภาพแวดล้อมเช่น ขยะน้ำเน่าเสีย เป็นต้น ร้อยละ 44.17รวมทั้งปัญหาอื่นๆที่ส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตโดยรวมของตนตกต่ำลง ส่วนความเครียดในเรื่องสุขภาพที่อาจได้ ผลกระทบจากความวิตกกังวลในเรื่องอื่นๆ เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังประสบอยู่ เนื่องจากเห็นว่าตนเองมีร่างกายไม่แข็งแรงร้อยละ 65.36 มีโรคประจำตัว ร้อยละ 36.48 และเจ็บป่วย/ไม่สบายบ่อย ร้อยละ 26.47เป็นต้น
จากผลการสำรวจพบว่า เพื่อจะเผชิญหน้ากับสภาพเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ คนไทยส่วนใหญ่เลือกที่จะใช้จ่ายอย่างประหยัด โดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ร้อยละ 50.33 หาอาชีพเสริมและพยายามทำงานให้มากขึ้น ร้อยละ 14.52 ยอมรับความเป็นจริงมีสติ และพยายามไม่เครียดกับเรื่องเศรษฐกิจร้อยละ 8.73 เป็นต้น ส่วนความเครียดในเรื่องสภาพแวดล้อมนั้นจะพยายามไม่เครียดกับเรื่องเศรษฐกิจ ร้อยละ 8.73 เป็นต้น
ส่วนความเครียดในเรื่องสภาพแวดล้อมนั้น จะพยายามปล่อยวาง ทำใจยอมรับความเป็นจริง และมีสติ ร้อยละ 22.80 รู้จักวางแผนการเดินทาง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรร้อยละ 15.98และหากิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุข หางานอดิเรกร้อยละ 13.66เป็นต้น
จากผลสำรวจครั้งนี้จะเห็นว่าปัญหาที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เกิดความเครียดคือปัญหาหนี้สิน/รายรับไม่พอกับรายจ่าย สินค้าราคาแพง ปัญหาสุขภาพ ปัญหาความไม่ซื่อสัตย์สุจริต ของนักการเมืองและปัญหาการจราจรซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำไปพิจารณา เพื่อปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้คนไทยเกิดความเครียดต่อปัญหาต่างๆ เหล่านี้น้อยลง โดยปัญหาที่เกิดขึ้นได้ส่งผลทำให้คนไทยส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย ร้อยละ 62.85ไม่มีความสุขเลย ร้อยละ69.17และรู้สึกหมดกำลังใจร้อยละ 52.69 ซึ่งความรู้สึกต่างๆเหล่านี้ อาจส่งผลทำให้ความสุขและคุณภาพชีวิตของคนไทยถดถอยลงได้ในที่สุด.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี