ผู้บริหาร สภาอุตฯ ส่งสัญญาณให้รับมือสินค้าขยับราคาขึ้น ในไตรมาส 2 ปีนี้ หลังผู้ผลิตแบกรับภาระค่าแรง 300 บาท และต้นทุนวัตถุดิบต่อไม่ไหว จับตาภาพ “เอสเอ็มอี”ปิดกิจการชัดเจนขึ้น
นายวัลลภ วิตนากร รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2 (เมษายน-มิถุนายน)ปีนี้ มีแนวโน้มว่า ผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรมจะปรับราคาสินค้าในประเทศเพิ่มขึ้นอีกตามภาระต้นทุนที่สูง โดยปัจจัยหนึ่งมาจากการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันทั่วประเทศ การปรับขึ้นก็เพื่อให้ครอบคลุมกับต้นทุนที่แท้จริง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาถือว่าค่าแรงได้ปรับขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่การปรับราคาสินค้าไม่สามารถขยับขึ้นได้ทั้งหมด
“ผู้ผลิตที่มีต้นทุนสูงมาก และคิดว่าไม่ไหวยังไงก็ต้องดิ้นรนปรับสินค้าขึ้นซึ่งผมคิดว่ายังมีอยู่อีกระดับหนึ่งแม้ที่ผ่านมาได้ขึ้นราคาไปบ้างแล้วแต่ยังไม่มากพอกับภาระที่เพิ่มขึ้น และถ้ารายใดขึ้นไม่ได้แต่ต้นทุนรับไม่ไหวอันนี้ก็ต้องยอมรับสภาพว่าจะต้องปิดตัวไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลาง และย่อม(เอสเอ็มอี)
“รัฐเองก็จะต้องควบคุมสินค้าที่เป็นพื้นฐานต่อการดำรงชีวิต อะไรที่ไม่ใช่ก็ต้องปล่อยเขาปรับขึ้น และควรดูว่ารายจ่ายของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรงเทียบกับสินค้าแล้วอะไรสูงกว่ากัน ถ้าสินค้าสูงกว่าก็ควรจะเข้าไปควบคุมราคาด้วย”นายวัลลภ กล่าว
สำหรับผลกระทบค่าแรง 300 บาทต่อวัน คาดว่าปลายไตรมาส 2 จะเห็นผลชัดเจนมากขึ้นว่าจะกระทบต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะเอสเอ็มอีมากน้อยเพียงใด เนื่องจากช่วงไตรมาสแรกปีนี้จะเป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการเป็นส่วนใหญ่ และแต่ละรายเองก็พยายามจะประคองให้อยู่รอดแต่บางรายที่ปิดกิจการไปแล้วก็พบว่ามีพอสมควรแต่ภาพรวมส่วนใหญ่มีปัญหาขาดทุนสะสมก่อนหน้าพอมีค่าแรงขึ้นจึงผลักดันให้ต้องปิดกิจการทันที
ด้าน นายสมมาต ขุนเศษฐ รองประธานส.อ.ท. กล่าวว่า ขณะนี้เอสเอ็มอีไตรมาสแรกที่ปิดกิจการมีให้เห็นกันไปพอสมควรแล้วแต่คิดว่าภาพจะชัดเจนมากขึ้นไปเรื่อยๆ จากนี้ไปคงจะต้องติดตามใกล้ชิด ดังนั้นอยู่ที่ภาครัฐว่าจะสามารถเข้ามาเยียวยาเอสเอ็มอีเหล่านี้ได้ทันเหตุการณ์หรือไม่ ซึ่งภาพรวมพบว่าภาระต้นทุนรวมเอกชนสูงขึ้นจากหลายปัจจัยทั้งวัตถุดิบที่ราคาแพงขึ้นโดยเฉพาะภาคเกษตร ค่าแรง จึงมีโอกาสที่จะผลักดันให้ภาคการผลิตต้องดิ้นทุกทาง และที่สุดก็จะหนีไม่พ้นการปรับขึ้นสินค้า ซึ่งจะเป็นทางเลือกสุดท้าย เชื่อว่าการขึ้นราคาสินค้าในไตรมาส 2 บางประเภทจะยังมีให้เห็นอยู่
นายทวี ปิยพัฒนา รองประธานอาวุโส ส.อ.ท.กล่าวว่า ส่วนของอุตสาหกรรมอาหารทะเลมีปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบหนักสุด ต้นทุนค่าแรง และบาทแข็งก็เข้ามากระทบภาพรวมทำให้ไทยไม่สามารถปรับราคาสินค้าต่างประเทศได้และตลาดในประเทศจึงแข่งขันสูงการขึ้นราคายังทำได้ยากมากแต่ถ้าที่สุดทนไม่ไหวจริงก็คงจะหนีไม่พ้นว่าจะต้องปรับขึ้นแน่แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเมื่อใด
ส่วนนายยุทธพงศ์ จีรประภาพงศ์ ประธาน ส.อ.ท.ภาคเหนือ กล่าวว่า การปิดกิจการเอสเอ็มอียังไม่เห็นผลชัดนักในขณะนี้ ส.อ.ท.กำลังรวบรวมในปลายเมษายนนี้คงจะได้ข้อมูลภาพรวมทั้งหมด สาเหตุหนึ่งคือ เอสเอ็มอีพยายามประคองธุรกิจด้วยการทำบัญชีแบบไม่มีผลประกอบการเพราะไม่ต้องการปิดกิจการในทันที ประกอบกับจะไปแจ้งกับทาง กระทรวงพาณิชย์ ก็มีขั้นตอนยุ่งยาก และหากปิดทันทีก็จะต้องจ่ายเงินชดเชยธุรกิจส่วนใหญ่ จึงพยายามประคองให้อยู่ไปก่อน และค่อยๆทยอยลดคน และค่อยเลิกกิจการเมื่อทนไม่ไหวจริงๆ
“เชียงใหม่ตอนนี้แรงงานย้ายไปอยู่ภาคบริการหมด หลังจากห้างสรรพสินค้าเปิดตัวเพิ่มมากทำให้ธุรกิจต้องจ่ายค่าแรงเพิ่มมากกว่าปกติด้วยซ้ำในบางอย่างเช่น ภาคก่อสร้างพนักงานฉาบปูน ต้องจ่ายกัน 500 บาทต่อวันก็มีเพราะค่าแรงผลักดันให้เพิ่มขึ้นไปทั้งระบบมาก”นายยุทธพงศ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี