ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ นายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ได้เร่งให้คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในข้อกฎหมายเกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่เพื่อให้บริการ 3G บนคลื่นความถี่ 850 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ด้วยเทคโนโลยี HSPA ระหว่าง กสท กับกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ว่า การทำสัญญาดังกล่าวเข้าข่ายพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมการงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ.2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุน) หรือไม่
“กสท ได้ทำหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อขอหารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รูปแบบใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจน ก่อนการนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการที่มีมูลค่า 29,000 ล้านบาทต่อไป”
แหล่งข่าวจาก กสท กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ กสท ได้มีการหารือไปยัง กระทรวงการคลัง ในฐานะผู้ถือหุ้น กสท 100% แต่ กระทรวงการคลัง ไม่สามารถพิจารณาตอบข้อหารือได้ โดยเฉพาะประเด็นกฎหมายที่ยังมีความเห็นที่แตกต่างกัน ว่า การใช้คลื่นความถี่ ถือเป็นการใช้ทรัพย์สินของรัฐหรือไม่บางหน่วยงานแจ้งว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐ บางหน่วยงานแจ้งว่าไม่ได้เป็นทรัพย์สินของรัฐ ฉะนั้นจึงต้องส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นเพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน
สำหรับการทำสัญญา 3G ระหว่าง กสท กับกลุ่มทรูนั้น ได้มีการลงนามในสัญญาเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา นับเป็นเวลา 2 ปีกว่า แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนในประเด็นว่าการทำสัญญาดังกล่าวเข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนหรือไม่ โดยกสท ได้ทำหนังสือหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วเมื่อกลางเดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ได้ทำหนังสือถึงกระทรวงการคลัง และสำนักงานอัยการสูงสุด แต่ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน กสท จึงต้องเร่งสร้างความชัดเจนให้เกิดขึ้นสำหรับสัญญา 3G ดังกล่าว เพื่อ กสท จะได้เดินหน้าการทำธุรกิจ เนื่องจากเวลาผ่านไปกว่า 2 ปี กสท ก็ยังไม่สามารถรับรู้รายได้จากการประกอบกิจการ และหากปล่อยเวลาให้ผ่านไปเรื่อยๆ กสท จะสูญเสียรายได้และอาจมีผลต่อฐานะการเงินของ กสทด้วย เนื่องจากในปี 2557 เป็นต้นไป กสท จะไม่มีรายได้จากสัญญาสัมปทานอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ ผู้บริหาร กสท มั่นใจว่า กสท น่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวในไตรมาส 3 ของปีนี้
โดยในปีนี้ทรูน่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจดังกล่าวราว 25,000 ล้านบาท ซึ่งตามสัญญากลุ่มทรูฯจะเป็นได้สิทธิเป็นผู้ทำตลาดแบบขายส่ง (โฮลเซล) บนโครงข่ายที่บริษัท บีเอฟเคที (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทของทรูเป็นผู้สร้างขึ้น
ในส่วนของ กสท เองจะรับรู้รายได้จริงเข้าบริษัทตามสัดส่วนในสัญญาคือ 23% แต่เมื่อหักค่าเช่าอุปกรณ์ และการจ่ายค่าเช่าให้กับ บีเอฟเคที แล้วจะเหลือรายได้ 17% ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้ทางบัญชี ส่วนการรับรู้รายได้จะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อ กสท มีการจ่ายค่าเช่าให้แก่ บีเอฟเคที แล้ว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี