นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาของอุตสาหกรรมเหล็กในภูมิภาคเอเชียว่ามีการปรับตัวสูงขึ้นทั้งในส่วนของวัตถุดิบ และสินค้าสำเร็จรูป โดยในเดือนเมษายน 2565 ราคาเหล็กแท่งแบน (Slab) และเหล็กแท่งเล็ก (Billet) สูงขึ้น 27.4% และ 25.2% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 ปรับตัวสูงขึ้นตามสถานการณ์เหล็กโลกซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครนที่ส่งผลต่อต้นทุนพลังงานเชื้อเพลิง และการขาดหายไปของสินค้าเหล็กในตลาดโลกบางส่วน
สำหรับสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กไทย พบว่าปริมาณการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2565 มีปริมาณ 2.54 ล้านตัน ลดลง 14.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยมีปริมาณนำเข้า 1.58 ล้านตัน ลดลง 12.3% ส่วนผู้ผลิตในประเทศมีการผลิต 1.17 ล้านตัน ลดลง14.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 จะเห็นได้ว่าการผลิตในประเทศได้รับผลกระทบมากกว่าการนำเข้า
จากข้อมูลการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กไทยที่ปรับลดลงส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตของผู้ประกอบการไทยลดลงด้วยเหลือเพียง 29.9% จากระดับ 37% ในปี 2564 ถือว่าอยู่ในระดับต่ำมาก และเป็นอีกอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น เวียดนาม ไต้หวัน เกาหลีใต้ ที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตมากกว่า 50% หากพิจารณาจากกำลังการผลิตที่เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก สถาบันเหล็กฯ มีความเห็นว่าการผลิตสินค้าเหล็กในประเทศมีเพียงพอต่อความต้องการใช้อย่างแน่นอน
นายวิโรจน์กล่าวว่า การสนับสนุนการใช้สินค้าเหล็กในประเทศ โดยเฉพาะในงานโครงการภาครัฐจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และช่วยให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในประเทศเป็นมูลค่ามหาศาล และจากกรณีงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นของราคาสินค้าเหล็ก สถาบันฯ เชื่อว่าแนวทางที่สามารถช่วยเหลือทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) คือการปรับค่างานก่อสร้าง (ค่า K) ให้เหมาะสมตามสถานการณ์จริง ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบของผู้รับเหมา และช่วยให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศสามารถจำหน่ายสินค้าสอดคล้องต้นทุนและกลไกตลาดได้ ซึ่งมีกรมการค้าภายในเป็นหน่วยงานที่คอยตรวจสอบ และควบคุมอย่างเข้มงวดอยู่แล้ว
สำหรับผลกระทบกับภาคการก่อสร้างทั่วไป สถาบันเหล็กฯ ได้รับข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ Real Estate Information Center (REIC) ได้จัดทำดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2565พบว่าค่าดัชนีมีค่าเท่ากับ 127.3 ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 นับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2564 หากพิจารณาถึงราคาสินค้าเหล็กที่ปรับตัวสูงสุดในปี 2564 ขณะที่ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ลดลง แสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าเหล็กที่ปรับตามกลไกตลาดไม่น่าจะกระทบต่อผู้บริโภคโดยทั่วไป
จากนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือ BCG ว่าทางกระทรวงอุตสาหกรรมมีนโยบายผลักดันให้โรงงานทั่วประเทศได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry(GI) เพื่อให้โรงงานทั่วประเทศปฏิบัติตามมาตรฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นหากโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐสามารถกำหนดให้มีการเลือกใช้เหล็กที่ผลิตจากโรงงานที่ได้รับการรับรอง GI ดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ภาครัฐควรให้การสนับสนุน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี