สบน.เตรียมสำรวจความต้องการตลาด เล็งไตรมาส3ออกพันธบัตรลอตใหญ่ จ่ายในโครงการรับจำนำข้าว ยอมรับที่ผ่านมาสถาบันการเงินวิตกปัจจัยการเมืองเกินเหตุจนไม่เข้าร่วม เผยยอดค้างล่าสุดอยู่ที่96,000 ล้านบาท ด้าน “รถคันแรก”ก็ถังแตก เงินไม่พอจ่ายคืน “โต้ง” จ่อเสนอครม.ขออนุมัติหมื่นล้าน
นางจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า หลังจากเทศกาลสงกรานต์จะสำรวจตลาดจากนักลงทุนในเรื่องการตอบรับเงินกู้ เพื่อนำมาใช้ในการจำนำข้าว โดยจะสำรวจทั้งความต้องการของตลาดใน 3 รูปแบบ ประกอบด้วย 1.การกู้เงินในระยะยาว 2.ตั๋วสัญญาใช้เงิน และ 3.พันธบัตรรัฐบาล เพื่อดูว่ารูปแบบไหนที่ตลาดต้องการและมีต้นทุนต่ำที่สุด เนื่องจากขณะนี้สภาพคล่องตลาดอยู่ในระดับสูง เพราะ สบน.ได้ออกพันธบัตร เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ โดยมีคนมาประมูลจำนวนมาก 2-3 เท่าของวงเงินประมูล
ทั้งนี้ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาการเปิดโครงการเงินกู้เพื่อใช้จำนำข้าว ถูกบิดเบือนจากปัญหาการเมือง จึงทำให้ผู้มาประมูลวิตกการเงิน ทำให้กังวลจนเกิดเหตุ โดยระหว่างนี้กำลังทำความเข้าใจร่วมกับผู้ต้องการประมูล เพราะทำอยู่ในขั้นตอนตามกฎหมาย โดยจะเดินหน้าเปิดประมูลอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำควบคู่กับการมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร ส่วนแนวทางการออกพันธบัตรของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดบริษัทจัดอันดับความเชื่อถือ เพื่อจัดเรตติ้งของธนาคาร โดยกระบวนการออกต้องใช้เวลานาน ปริมาณที่จะออกพันธบัตรคงไม่ถึง 100,000 ล้านบาท แต่ขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลังกู้เงินได้อีกทางหนึ่ง
“ระหว่างนี้ สบน.ยังเดินหน้าออกพันธบัตรในการกู้เงินขาดดุลงบประมาณในปี 2557 วงเงิน 250,000 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีงบประมาณได้ออกพันธบัตร 100,000 ล้านบาท และไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ มีแผนออกพันธบัตรกู้เงินชดเชยขาดดุล วงเงิน 60,000 ล้านบาท คาดว่าจะกระจุกตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เพราะเดือนเมษายนเป็นช่วงวันหยุด”นางจุฬารัตน์ กล่าว
มีรายงานจาก ธ.ก.ส.ระบุว่า หนี้โครงการรับจำนำข้าวที่ค้างชาวนาล่าสุดอยู่ที่96,000 ล้านบาท ขณะนี้รอ กระทรวงพาณิชย์ ระบายข้าวมาจ่ายให้ชาวนา คาดจ่ายเงินได้ครบในสิ้นปีนี้
ด้าน นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวมั่นใจว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศ ที่จะระบายข้าวหาเงินมาใช้คืนเงินทดลองราชการที่ยืมจาก กรมบัญชีกลางไปจำนวน 2 หมื่นล้านบาท เพื่อนำไปจ่ายชาวนาที่ยังไม่ได้รับเงินจากโครงการรับจำนำข้าวได้ทันภายในสิ้นเดือน พฤษภาคม.นี้ ทั้งนี้ยังได้สอบถามไปยัง กรมการค้าต่างประเทศ แล้ว โดยในเบื้องต้นได้มีการจ่ายมาคืนแล้วเป็นเงินกว่า 1 หมื่นล้านบาท
ส่วนโครงการรถคันแรกที่มีปัญหาในด้านเงินงบประมาณไม่พอจ่ายผู้ที่มีสิทธิ์ที่เข้าร่วมโครงการรถคันแรก และ กรมสรรพสามิต ได้ทำเรื่องขอเบิกเงินงบกลางจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ได้รับเรื่องไว้พิจารณาแล้ว โดยหลังจากนี้ได้เตรียมนำเรื่องเข้าเสนอสู่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อให้คณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบ แต่อย่างไรก็ตามไม่สามารถระบุได้ว่า จะมีการนำเข้าเรื่องดังกล่าวสู่ในที่ประชุม ครม.ในวัน เวลาใด
นายรังสรรค์ กล่าวว่า กล่าวถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 ที่ล่าช้า ว่า หากไม่สามารถจัดทำพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2558 และไม่สามารถประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษาได้ ได้ทันภายในเดือน ต.ค.นี้ สามารถใช้เงินที่ได้มาจากเงินงบประมาณในส่วนของเงินเดือนข้าราชการไปก่อนได้
ส่วนนายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รักษาการ รมช.คลัง กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมือง ว่า ภายหลังช่วงเทศกาลสงกรานต์เชื่อว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะไม่เกิดความรุนแรง อย่างที่หลายฝ่ายได้เกิดการกังวล เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยเคยมีประสบการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 2553 มาแล้ว จึงคาดว่าในครั้งนี้จะไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเหมือนครั้งก่อน
“สถานการณ์ทางการเมืองจะไม่เกิดความรุนแรงขึ้นอีก หลังเคยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาแล้ว และได้เกิดการสูญเสียในช่วงนั้น จึงเชื่อว่าทุกฝ่ายได้รับประสบการณ์ ได้เผชิญหน้า และได้รับบทเรียนจากเหตุการณ์ในครั้งก่อนมาแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยง และไม่น่าจะเกิดขึ้นอีก” นายทนุศักดิ์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี