การท่องเที่ยวญี่ปุ่นเติบโตอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ทางการญี่ปุ่นดำเนินมาตรการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และหนึ่งในหลายมาตรการ คือ การยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวให้แก่นักท่องเที่ยวจากประเทศเป้าหมาย ซึ่งรวมถึงประเทศไทย
โดยทางการญี่ปุ่นได้พิจารณายกเว้นวีซ่าระยะสั้นให้แก่คนไทย ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ส่งผลกระตุ้นให้คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง (FIT)
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวต่างประเทศของไทย ยังใช้จังหวะทางธุรกิจนี้ นำเสนอโปรโมชั่นด้านราคา ทั้งในส่วนแพ็กเกจทัวร์และบริการที่เกี่ยวเนื่องในราคาพิเศษดึงดูดนักท่องเที่ยว ด้วยการปรับลดจำนวนวัน และเส้นทางท่องเที่ยวให้มีความหลากหลายขึ้น จากเดิมที่เน้นเส้นทางท่องเที่ยวในเมืองเป็นหลัก ทำให้ราคาแพ็กเกจทัวร์ญี่ปุ่นมีแนวโน้มปรับลดลงกว่า 30% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยกเว้นวีซ่า ที่แพ็กเกจทัวร์ญี่ปุ่นมีราคาเริ่มต้นประมาณ 40,000 บาท (สำหรับการเดินทาง 6 วัน 4 คืน)
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาสถิติชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น (จำแนกตามสัญชาติ) ขององค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งญี่ปุ่น (Japan National Tourism Organization : JNTO) พบว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2556 ที่ผ่านมา หลังจากทางการญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยวระยะสั้นให้แก่คนไทย มีคนไทยเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 251,826 คน เพิ่มขึ้นประมาณ 96.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยในเดือนตุลาคม 2556 มีคนไทยเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นถึง 61,306 คน ซึ่งนับเป็นยอดนักท่องเที่ยวรายเดือนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ (สำหรับเดือนตุลาคม เป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวคนไทยสามารถเดินทางท่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศช่วงฤดูใบไม้ร่วงของประเทศญี่ปุ่น ช็อปปิ้ง และลิ้มลองอาหารญี่ปุ่นในแต่ละท้องถิ่นได้ เช่น ปูขนและเจงกิสข่าน ที่ฮอกไกโด, ปลาโอ ที่จังหวัดโคจิ เป็นต้น)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า คนไทยไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน จะเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในปี 2557 และคาดว่าเม็ดเงินรั่วไหลกว่า 20,000 ล้านบาท จากกระแสความนิยมเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในหมู่นักท่องเที่ยวคนไทย ที่ทวีความร้อนแรงในช่วงครึ่งหลังของปี 2556 ยังส่งผลต่อเนื่องมาในปี 2557
โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นปลายทางท่องเที่ยวระยะใกล้ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบในกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทย และความสะดวกในการเดินทางจากการยกเว้นวีซ่าของทางการญี่ปุ่น รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางที่ถูกลง จากการขยายเส้นทางบินระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น ของบรรดาธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์ แอร์ไลน์ส)
นอกจากนี้ บรรดาผู้ประกอบการธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้อง ต่างนำเสนอโปรโมชั่นด้านราคาที่หลากหลายมากขึ้น ช่วยเพิ่มทางเลือกให้คนไทยที่มีแผนเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น ทั้งกลุ่มเดินทางเป็นกลุ่มทัวร์และกลุ่มเดินทางท่องเที่ยวด้วยตนเอง (FIT) รวมถึงกลุ่มผู้ประกอบการจากหลายธุรกิจของไทย ที่หันมาจัดแคมเปญร่วมชิงรางวัลท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น (ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ หรือแพ็กเกจท่องเที่ยวญี่ปุ่น) เพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ รวมถึงกระตุ้นยอดขาย
อย่างไรก็ดี สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในปี 2557 อาจมีปัจจัยที่จะมีผลต่อการใช้จ่ายในการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น คือ วันที่ 1 เมษายน 2557 ทางการญี่ปุ่นได้ปรับขึ้นภาษีการบริโภค (Consumption Tax) จาก 5% เป็น 8% และจะปรับขึ้นเป็น 10% ภายในเดือนตุลาคม 2558ซึ่งในประเด็นนี้อาจจะส่งผลทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมต่างๆ ระหว่างการเดินทาง
ท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นได้ อาทิ ค่าที่พัก ค่าอาหารและเครื่องดื่ม ค่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น ค่าใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมช้อปปิง และค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ ของนักท่องเที่ยว เป็นต้น
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2557 จะยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน ทำให้คนไทยบางส่วนชะลอหรือลดการใช้จ่ายสำหรับกิจกรรมที่ไม่มีความจำเป็นในระยะนี้ แต่คาดว่าจะมีคนไทยอีกจำนวนหนึ่ง ที่ยังคงมีแผนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยอาจจะปรับแผนการเดินทางให้สอดคล้องกับสภาพคล่องทางการเงินของแต่ละบุคคล เช่น ลดวันพำนัก ปรับเปลี่ยนปลายทาง ปรับลดจำนวนสถานที่ท่องเที่ยวที่จะเดินทางไป ลดกิจกรรมที่ไม่จำเป็นลง เป็นต้น รวมถึงอาจจะเลือกซื้อแพ็กเกจทัวร์ที่ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวต่างประเทศของไทยต่างนำเสนอในหลายระดับราคา และหลากหลายเส้นทาง ให้เหมาะสมกับข้อจำกัดของแต่ละกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดการณ์ว่า ในปี 2557 นี้ จะมีคนไทยที่มีกำลังซื้อเลือกเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 10% ซึ่งชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปี 2556 ที่เติบโต 74.0% มีจำนวนนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น 453,642 คน โดยประเมินว่าคนไทยจะเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นคึกคักในช่วงเดือนเมษายน และตุลาคม เพราะเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวของคนไทย ที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวันและเป็นช่วงปิดภาคการศึกษาของประเทศไทย
ในขณะที่ภาพรวมการใช้จ่ายด้านต่างๆ ในประเทศญี่ปุ่นของคนไทย มีแนวโน้มคิดเป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท สะพัดสู่ธุรกิจด้านที่พัก ธุรกิจบริการอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจเกี่ยวเนื่องในประเทศญี่ปุ่น โดยมูลค่าดังกล่าวไม่รวมค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางระหว่างประเทศ
โดยสรุปแล้วจากปัจจัยต่างๆ ตลาดนักท่องเที่ยวคนไทยเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นในปี 2557 มีแนวโน้มเติบโตสวนทางกับตลาดนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางมาประเทศไทย ที่คาดว่าจะซบเซาลงอย่างเด่นชัดในช่วงครึ่งปีแรก 2557 ตามทิศทางการเติบโตของตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมของประเทศไทย ซึ่งได้รับผลกระทบจากการประกาศพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก. ฉุกเฉิน) และเหตุการณ์ความไม่สงบในบางพื้นที่ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ
ดังนั้นผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวของไทย อาจจะต้องปรับรูปแบบการบริการ ให้สอดคล้องกับแนวโน้มตลาด ด้วยการขยายตลาดนำคนไทยไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นที่กำลังมาแรง เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชดเชยตลาดนำนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น มาเที่ยวประเทศไทยที่ซบเซาลง
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนของไทย ควรเร่งดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นให้ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยที่ถดถอยลงในช่วงไตรมาสแรกของปี 2557 สามารถพลิกฟื้นกลับมาเติบโตได้ตามปกติโดยเร็ว ด้วยการสื่อสารเร่งทำความเข้าใจกับนานาประเทศ ถึงสถานการณ์การท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ที่เป็นจริงของประเทศไทย โดยเฉพาะหลังจากที่มีการยกเลิกประกาศพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ควบคู่ไปกับการจัดกิจกรรมด้านการตลาดเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศไทยในตลาดต่างประเทศ ที่เป็นตลาดเป้าหมายสำคัญของประเทศไทย...
ที่มา : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี