“บสย.”ยอมรับยอดค้ำสินเชื่อพลาดเป้าถึง 50% หลังธนาคารต่างคุมเข้มสินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม ด้าน “หอการค้า” รอความหวัง “ส่งออก-ท่องเที่ยว”ฟื้นเศรษฐกิจไทยปีนี้
นายวัลลภ เตชะไพบูลย์ กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ บสย.ได้เตรียมการปรับปรุงเงื่อนไขการค้ำประกันสินเชื่อ “สตาร์ท อัพ” (Start-Up) ที่มีวงเงิน 1 หมื่นล้านบาทใหม่ ทั้งนี้ เป็นผลมาจากจากเศรษฐกิจชะลอตัวลงส่งผลให้แนวโน้มการเกิดหนี้เสีย(เอ็นพีแอล)ในผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ธนาคารมีการเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทั้งนี้ เงื่อนไขค้ำประกันสินเชื่อใหม่นั้นบสย.อยู่ระหว่างการพิจารณา
สำหรับยอดค้ำประกันสินเชื่อของ บสย.ในช่วง 2 เดือนแรกของปี (มกราคม- กุมภาพันธ์) มีจำนวน 3,500 ล้านบาท ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 6,500 ล้านบาท หรือลดลงราว 50% และที่ผ่านมา บสย. มียอดค้ำประกันในโครงการสตาร์ท อัพ ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ไม่มีหลักประกันได้เพียงกว่า 300 ล้านบาทเท่านั้น
ทั้งนี้ ยอดค้ำประกันสินเชื่อที่ลดลงถึง 50% ส่งผลให้ บสย. คาดว่ายอดการค้ำประกันสินเชื่อในปี 2557 จะลดลงมาอยู่ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท จากเดิมคาดว่าจะมียอดค้ำประกัน 1 แสนล้านบาท เพราะเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง ตามการปรับลดตามอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ (จีดีพี) ที่คาดว่าขยายตัวได้ที่ระดับ 3% เพราะผลกระทบจากการเมือง ทำให้ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่ของสถาบันการเงินในระบบลดลงด้วย
ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่าปัจจัยเสี่ยงสำหรับเศรษฐกิจไทย ในครึ่งปีหลังคงหนีไม่พ้นเรื่องของสถานการณ์ทางการเมืองที่ไม่มีความชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในหลายด้าน กระทบต่อภาคลงทุนที่จะลดลงไปได้อีก เพราะการเมืองไม่ว่าจะเป็นทั้งการชุมนุมและปัญหาเรื่องรัฐบาลชุดใหม่ ที่ยืดเยื้อยาวนานและไม่มีทีท่าจะจบลงได้ บวกกับสถานการณ์ที่อาจมีความรุนแรงเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ยังถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักอันดับหนึ่งต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เนื่องจากการที่ไม่มีรัฐบาล ประชาชนก็จะไม่มั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจ ไม่มั่นในการใช้จ่าย การลงทุน อีกทั้งยังไม่มีนโยบายเศรษฐกิจที่ชัดเจนสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับหลายฝ่าย
โดยทางนักเศรษฐศาสตร์ต่างมองว่าหากการเมืองไม่นิ่งและไม่มีรัฐบาลในช้าครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจอาจขยายตัวได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ 2-3% อาจจะขยายตัว 0-2% หรืออาจถึงขั้นติดลบได้หากสถานการณ์เข้าขั้นรุนแรงมาก
“การเมืองยังเป็นปัญหาหลักที่น่ากังวล การชุมนุมที่อาจรุนแรงได้ถึงขั้นนองเลือดจะส่งผลกระทบต่อประชาชนในทันที ทำให้คนไม่กล้าใช้จ่าย นักลงทุนก็จะไม่กล้าลงทุน ส่วนการที่ประเทศยังไม่มีรัฐบาลก็จะส่งผลในช่วงระยะสั้นถึงปานกลาง เพราะขาดนโยบายหลักในการจัดการเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายงบประมาณก็จะไม่สามารถดำเนินการได้ ซึ่งการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีอำนาจเต็ม เข้ามาบริหารประเทศ น่าจะเป็นตัวช่วงพยุงเศรษฐกิจไทยให้กลับมาดีขึ้นได้แน่นอน”
สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลักอีกตัวที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยก็คือเรื่องของสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่มีความแน่นอนชัดเจน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะฟื้นตัวได้ตามที่เคยคาดการณ์กันไว้หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกให้เติบโตไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ และการจะชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะเด่นหรือไม่เด่น ส่งออกควรจะขยายตัวได้อย่างน้อย 5% เพราะฉะนั้นเศรษฐกิจโลกจึงถือได้ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญมากตัวหนึ่งในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย
นอกจากนี้ปัญหาภัยแล้ง ภัยธรรมชาติทั่วไปทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศและต่างประเทศ เช่น สึนามิ แผ่นดินไหว ก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงเสริมที่อาจกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ เนื่องจากไม่อาจคาดเดาระยะเวลาและความเสียหายที่แน่นอนของภัยแล้งได้ว่าเป็นเช่นไร การเกิดภัยแล้งจะส่งผลให้พืชผลทางการเกษตรส่วนรวมมีปริมาณน้อยลง เกษตรกรมีกำลังซื้อลดลง
อย่างไรก็ตามทางหอการค้าไทยยังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะโตได้ 2-3% เพราะยังหวังว่าการเมืองจบลงได้ และมีรัฐบาลภายในครึ่งปีแรก แม้ขณะนี้จะไม่มีจุดสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยจะมีรัฐบาลใหม่ในเร็วๆ นี้ ก็ตามอีกทั้งยังเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มดีขึ้นจากเศรษฐกิจโลก การท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นหลังจากที่รัฐบาลมีการยกเลิกพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) กำลังซื้อและการลงทุนจะกลับมาหากการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่หากการทั้งหมดไม่เกิดขึ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังก็อาจชะลอตัวลง และซึมตัวลงอย่างต่อเนื่องได้
“ตอนนี้จึงอาจเร็วเกินไปในการจะชี้ได้ว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังจะเป็นอย่างไรแน่ แต่ตามสมมุติฐานเดิมที่การเมืองค่อยๆ คลายตัวเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลังก็จะค่อยๆ ฟื้นขึ้นในช่วงสิ้นปี หากเศรษฐกิจโลกดีการส่งออกดีจะทำให้เงินหมุนเวียนในระบบมีมากขึ้น” นายธนวรรธน์ กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี