“ทรูมูฟ-ดีพีซี”รายได้ลด-ต้นทุนเพิ่ม
ขอส่งเงินให้ “กสทช.”น้อยลง
“ฐากร”ปัดต้องจ่ายอัตราเดิม
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)เปิดเผยถึงการนำส่งเงินรายได้ของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2 รายคือ คือ บริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด (ดีพีซี) ว่า นับตั้งแต่สัญญาสัมปทานของสองบริษัทสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 16 กันยายน2556ทั้งสองรายต้องส่งรายได้เป็นรายได้ให้กสทช.ก่อนเป็นรายได้ของแผ่นดิน
ทั้งนี้เป็นไปตามประกาศ กสทช. เรื่องมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราวในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทาน หรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ. 2556 (ประกาศเยียวยา 1800 เมกะเฮิรตซ์ (MHz)
ก่อนหน้านี้ทั้งสองรายต้องส่งให้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน) ตามสัญญาสัมปทาน
นายฐากร กล่าวว่า ล่าสุดทั้งสองยังไม่ส่งรายได้ให้ กสทช.และอยู่ระหว่างที่ คณะทำงานตรวจสอบเงินนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินจากการให้บริการในระยะเวลาคุ้มครองผู้ใช้บริการ กำหนดแนวทางจัดเก็บรายได้ ในเบื้องต้นระบุว่า รายได้ที่เกินขึ้นในช่วงประกาศเยียวยา 1800 MHz หลังหักค่าใช้จ่ายที่เป็นต้นทุนรายไตรมาส เช่น ค่าเช่าโครงข่าย กับบริษัท กสท โทรคมนาคม และค่าบริหารจัดการ เป็นต้น จะต้องจัดส่งรายได้ไม่น้อยกว่า 30% หรือไม่น้อยกว่าอัตราสัญญาสัมปทานเดิมที่ผู้ประกอบการเคยจ่ายให้เจ้าของสัมปทาน เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้วต้องไม่น้อยกว่า ที่จะต้องนำส่งเงินเป็นรายได้ของแผ่นดิน
ทั้งนี้กระบวนการดำเนินการต่อไปทางสำนักงาน กสทช. จะนำสรุปผลการตรวจสอบของคณะทำงานฯเพื่อเสนอความเห็นชอบต่อ คณะกรรมการกิจโทรคมนาคม(กทค.)ได้หลังเทศกาลสงกรานต์ หรือภายในปลายเดือนเมษายน2557นี้ ซึ่งเมื่อบอร์ดกทค.มีมติเห็นชอบแล้วจากนั้นจะส่งมติดังกล่าวไปให้กับผู้ประกอบการทั้ง 2 รายเพื่อรับทราบและปฏิบัติตาม ขณะที่ทางคณะทำงานฯก็จะดำเนินการคู่ขนานในการคิดคำนวนรายได้ที่ทั้ง 2 บริษัทว่าจะต้องนำส่งรายได้เป็นของแผ่นดินเป็นตัวเลขเท่าไรหลังหักค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆแล้ว
ขณะที่ผู้ประกอบการทั้งสองส่งข้อมูลรายรับ และรายจ่ายแต่ละเดือน โดยยืนยันว่าไม่สามารถส่งรายได้ในอัตราเดิม โดยอ้างว่ารายได้ปัจจุบันลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น จึงไม่สามารถนำส่งเงินเท่าที่เคยจ่ายให้ กสท โดยประเด็นดังกล่าวคณะทำงาน และสำนักงาน กสทช.ไม่เห็นด้วยกับคำอธิบายของเอกชน จึงจะนำเรื่องเสนอที่ประชุมบอร์ดกทค.เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไปเช่นเดียวกัน
“เมื่อก่อนเอกชนเคยจ่ายค่าสัมปทานให้ กสท 25% ถึง 30% ของรายได้ แต่มาตอนนี้จะมาบอกว่าจ่ายเท่าเดิมไม่ได้ เพราะค่าใช้จ่ายสูงขึ้นนั้นฟังไม่ขึ้น เนื่องจากอัตราค่าโทรศัพท์ขั้นสูงกำหนดไว้ไม่เกิน 99 สตางค์ต่อนาที ซึ่งจะสามารถคำนวนต้นทุนได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อรายได้เข้ามาน้อยอัตราผู้ใช้บริการลดลงสัดส่วนต้นทุนก็ต้องลดลงตามไปด้วย ซึ่งเอกชนคงต้องมีการลดค่าใช้จ่ายภายในบริษัทเอง อาทิ การลดจำนวนพนักงานลง เป็นต้น” นายฐากร กล่าว
สำหรับคณะทำงานตรวจสอบเงินนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ประกอบด้วย นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงาน, นางศิริพร เหลืองนวล รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง, นางศุภราพร จักรมานนท์ ผู้อำนวยการสำนักประสานงานรัฐวิสาหกิจ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, นายจรินทร์ เทศวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ และนางศรีสุดา อาชวานันทกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินและบัญชี
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี