บริษัทหลักทรัพย์(บล.)เคจีไอ(ประเทศไทย)วิเคราะห์หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์หรือ BANK พบว่า KBANK ลดสถานะลงทุนลงมากที่สุดถึง -25% MoM และ -56% YTD ขณะที่ BBL และ SCB ก็ลดขนาดพอร์ตลงทุนลงประมาณ -2%/-6% MoM และ -4%/-17% YTD ตามลำดับ ขณะที่ BAY ยังคงเดินหน้าลดสถานะลงทุนลงอีก -5% MoM และ -28% YTD โดยมีเพียง KTB เท่านั้นที่ขยายพอร์ตลงทุนประมาณ +8% MoM แต่ -6% YTD
แม้จะลดพอร์ตการลงทุนในตราสารหนี้ลง แต่ธนาคารส่วนใหญ่กลับมาเน้นปล่อยกู้ในตลาด interbank มากขึ้น โดยเฉพาะ KBANK ซึ่งเพิ่มสถานะปล่อยกู้ในตลาดเงินขึ้นอีก +37% MoM ขณะที่ของ SCB/BBL เพิ่มขึ้น +7%/+6% MoM ตามลำดับ เราคิดว่าการปล่อยกู้ในตลาดเงินเพิ่มขึ้นนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอุปสงค์ในระยะสั้นจากผู้ส่งออก/ผู้นำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วง 3Q60
สินเชื่อขยายตัวได้เล็กน้อย +0.3% MoM และ +0.8% YTD และ +2.4% YoY โดยสินเชื่อของธนาคารขนาดเล็กมีอัตราการเติบโตสูงกว่าธนาคารใหญ่ ได้แก่ 1) KKP +1% MoM และ +4% YTD จากการเติบโตของทั้งสินเชื่อเช่าซื้อและมิใช่เช่าซื้อ 2) TCAP +0.6% MoM และ +1.6% YTDขณะที่ของ TISCO +0.8% MoM แต่ -4% YTD สำหรับธนาคารใหญ่นั้น สินเชื่อใหม่ส่วนใหญ่มาจากสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ที่ปล่อยในรูปของระยะยาว และสินเชื่อเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งธนาคารส่วนใหญ่ก็มีรูปแบบคล้ายๆ กันแบบนี้ในเดือนสิงหาคม 2560 ยกเว้น KTB ซึ่งสินเชื่อใหม่มาจากภาครัฐโดยเพิ่มขึ้นประมาณ +1% MoM แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยยอดการชำระคืนหนี้ของ SME -1% MoM และลูกหนี้ธุรกิจ -0.3% MoM
ภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นเอื้อต่อการฟื้นตัวของสินเชื่อ และคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารในระยะต่อไป โดยการเติบโตของภาคส่งออกเร่งตัวขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2559 และการลงทุนก็พลิกมาเป็นบวกได้เป็นครั้งแรกใน 2Q60 ทำให้สินเชื่อของธนาคารพลอยได้อานิสงส์ไปด้วย ทั้งนี้ ธนาคารส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการเบิกจ่ายงบภาครัฐเพิ่มขึ้นใน 4Q60 ซึ่งจะช่วยหนุนโมเมนตั้มการเติบโตของสินเชื่อ และทำให้อัตราการเติบโตของสินเชื่อปีนี้เป็นไปตามคาดที่ 4-5% เราใช้สมมุติฐานอัตราการเติบโตของสินเชื่อปีนี้ที่ 5% YoY (จาก 2.4% YoY ใน 8M17) และคาดว่าจะเร่งตัวขึ้นเป็น 8% ในปี 2561 สำหรับด้านของคุณภาพสินทรัพย์นั้น เราคิดว่า NPL อยู่ที่จุดสูงสุดของวัฏจักรรอบนี้แล้ว และคาดว่าจะเริ่มลดลงใน 4Q60 จากการชำระคืนหนี้ตามฤดูกาล และการ write-off หนี้เสีย
ไม่เพียงแต่สภาวะเศรษฐกิจมหภาคเท่านั้นที่เอื้อต่อการฟื้นตัวของกลุ่มธนาคาร แต่นโยบาย/กลยุทธ์การ write-off หนี้เสียก็จะช่วยให้คุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารแต่ละแห่งดีขึ้นในระดับที่แตกต่างกันไป โดย KBANK มีนโยบายที่จะเร่ง write-off หนี้เสีย ขณะที่มี reserve cushion สูงถึง >80% ของ NPL (หรือประมาณ 30% ของ TDR) ในขณะที่ของ BBL อยู่ที่ 70%, SCB อยู่ที่ 40%, KTB อยู่ที่ 20% ซึ่งหมายความว่า KBANK มีความสามารถในการ write-off หนี้เสียได้มากกว่าคู่แข่ง
ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่มีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายผิดคาด, การลงทุนภาคเอกชนไม่โตต่อเนื่อง และ NPL ขยับเพิ่มขึ้น
ที่มา : บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี