เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้พบซากปลากระเบนไม่ต่ำกว่า 20 ตัว ลอยตายในแม่น้ำแม่กลอง พื้นที่อ.อัมพวา และ อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม แต่ด้านนักวิชาการกลับให้ข้อมูลว่า มีปลากระเบนตายถึง 50 ตัว
ซากปลากระเบนที่ลอยตาย บางตัวมีลูกๆ ไหลออกมาจากท้อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุจากการตรวจเลือดปลากระเบนพบได้รับสารเคมีที่เป็นพิษต่อระบบไตและระบบเหงือก ความสามารถในการควบคุมความสมดุลในร่างกายจึงเปลี่ยนแปลงไป ค่าเลือดสูงกว่าปกติ 30-40 เท่า สาเหตุการตายคาดว่าน่าจะมาจากน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เพราะแถวสมุทรสงคราม มีโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมาก
เพียงไม่กี่วันหลังเหตุการณ์ปลากระเบนตาย ปัญหาน้ำเน่าเสียยังส่งผลถึงหอยหลอดตายยกดอน เพราะปกติหอยหลอดจะฝังตัวตามแนวดิ่งในตะกอนดินโคลนปนทรายบริเวณปากแม่น้ำ และพบมากคือ ดอนหอยหลอด ที่จ.สมุทรสงคราม มีพื้นที่ดอนที่หอยหลอดอาศัยอยู่นับพันๆ ไร่ นอกจากนี้ยังมีปลากะพงที่ชาวประมงเลี้ยงในกระชังบริเวณแม่น้ำแม่กลองในบางพื้นที่ พากันตายเช่นกัน
สิ่งที่น่าหดหู่ใจยิ่งนักจากการตายของบรรดาสัตว์น้ำทั้งหลายคือ ปลากระเบน เพราะส่วนหนึ่งที่ตายเป็นปลากระเบนราหูเจ้าพระยา ซึ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์ ถือเป็นสัตว์น้ำจืดขนาดใหญ่และใกล้สูญพันธุ์ อย่างไรก็ตาม มีบางหน่วยราชการออกมาปฏิเสธว่า สาเหตุการตายของปลากระเบนราหูเจ้าพระยา ปลากะพง และหอยหลอด ไม่น่าจะเกิดจากโรงงานปล่อยน้ำเสีย เพราะได้มีการควบคุมที่ดี
แต่เมื่อพิจารณาค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) หรือความต้องการออกซิเจนทางชีวเคมีในน้ำ ค่าปกติที่สัตว์น้ำจะอยู่ได้ต้องที่ 4 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่ในแม่น้ำแม่กลองจุดที่ปลากระเบนตายกลับไม่ถึง 1 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมั่นใจและเชื่อว่า น้ำเสียเป็นสาเหตุทำให้ปลาตาย
ก่อนหน้านี้เมื่อปลายก.ย.2559 มีการส่งต่อแชร์รูปโรงงานน้ำตาลใน จ.ราชบุรี ปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำแม่กลอง พื้นที่เชื่อมต่อกับสมุทรสงคราม ทำให้คาดว่า นอกจากที่สมุทรสงคราม จะมีโรงงานปล่อยน้ำเสียแล้ว น้ำเสียโรงงานบางแห่งในราชบุรี ก็ย่อมทำให้ปริมาณน้ำเสียเพิ่มขึ้น และชาวบ้านบริเวณนั้นพูดว่า ปัญหานี้มีมานานแล้ว แต่หน่วยราชการไม่ได้แก้ไขอย่างจริงจัง
ข้อมูลของศูนย์สารสนเทศโรงงานอุตสาหกรรม กรมโรงงานอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 พบมีโรงงานใน จ.สมุทรสงคราม 297 โรงงาน และในจ.ราชบุรี 1,793 โรงงาน รวมกัน 2 จังหวัดมีสองพันกว่าโรงงาน หากไม่มีการควบคุมระบบการปล่อยน้ำเสียที่ดี หรือเจ้าของโรงงานไม่มีความรับผิดชอบต่อธรรมชาติ คงได้เห็นบรรดาสัตว์น้ำตายอีกจำนวนมาก
การตายของปลากระเบน ปลากะพง และหอยหลอด กลายเป็นเรื่องวัวหายล้อมคอก ต้องมาหาสาเหตุหรือรอตรวจสอบแล้วหาทางป้องกันภายหลัง แทนที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบและเอาผิดโรงงานที่ปล่อยน้ำเสียอย่างจริงจัง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง เช่น สั่งพักใบอนุญาตจนกว่าจะฟื้นฟูสภาพแวดล้อมได้ ปรับเป็นเงินสูงสุด หากทำเช่นนี้ ปัญหาคงไม่บานปลายจนถึงวันนี้
ตามปฏิญญาการประชุมสหประชาชาติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่กรุงสตอกโฮล์ม (Declaration of the United Nations Conference on the Human Environment, 1972) สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นเองหรือที่มนุษย์สร้างขึ้น เป็นสิ่งสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดี และเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่ควรจะได้อยู่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ดี การพิทักษ์ (Protection) และปรับปรุงสิ่งแวดล้อม เป็นหน้าที่ (Duty) ของรัฐบาลทุกประเทศที่ต้องให้ความสำคัญ ตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างฟุ่มเฟือยและเกินขีดจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติ
ย้อนไปเมื่อ 19 ต.ค. 2550 ชาวกะเหรี่ยงหมู่บ้านคลิตี้กับพวก รวม 151 คน ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บ.ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด จำเลยกับพวก 7 คน ข้อหาละเมิด พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และเมื่อ 11 กันยายน 2560 ศาลจังหวัดกาญจนบุรี อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา(แผนกคดีสิ่งแวดล้อม) ยืนตามศาลอุทธรณ์คือให้จำเลยทั้ง 7 คน จ่ายเงินชดเชยให้แก่ชาวบ้านผู้เสียหาย 151 คน เป็นเงินรวม 36,050,000 บาท
นอกจากนี้ศาลฎีกายังตัดสินให้กรรมการบ.ตะกั่ว คอนเซนเตรทส์(ประเทศไทย) จำกัด รวมทั้งผู้จัดการต้องรับผิดชอบต่อการปนเปื้อนเป็นการส่วนตัว และที่สำคัญก็คือศาลรับรองสิทธิของชาวบ้าน 151 คน ที่ร่วมฟ้องร้องในฐานะที่ “ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม” ตามที่ระบุในรัฐธรรมนูญปี 2550 อันเป็นการรับรองสิทธิของชุมชนให้สามารถฟ้องร้องให้มีการฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ ปิดฉากการต่อสู้คดีอันยาวนาน ซึ่งก่อนหน้านี้ศาลเคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วสองคดีเมื่อปี 2556 และ ปี 2559
ชาวหมู่บ้านคลิตี้ใช้สิทธิฟ้องคดี ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ซึ่งกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษ มีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหาย ไม่ว่าการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษนั้น จะเกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ
แต่อย่างไรก็ตาม กฎหมายฉบับนี้ยังมีปัญหาเรื่องภาระการพิสูจน์ของฝ่ายผู้เสียหายที่ต้องเป็นผู้พิสูจน์ความผิดของฝ่ายผู้ประกอบการกิจการหรือโรงงาน นับว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก บางคดีต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และความชำนาญเฉพาะทาง ทำให้แต่ละคดีต้องใช้เวลายาวนาน ทั้งต้องอาศัยทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์เพื่อคำนวณค่าเสียหาย และค่าใช้จ่ายการดำเนินคดีค่อนข้างสูง เพราะมูลค่าความเสียหายมีมาก
ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษทางน้ำ ต้องควบคุมการปล่อยน้ำเสียหรือของเสียสู่แหล่งน้ำสาธารณะไม่เกินมาตรฐานและต้องติดตั้งหรือจัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสีย หรือระบบกำจัดของเสียตามที่พนักงานควบคุมมลพิษกำหนด จากบทบัญญัตินี้ชี้ให้เห็นว่า หากเจ้าของโรงงานปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดจัดให้มีการควบคุมระบบบำบัดน้ำเสียก่อนปล่อยสู่ลำน้ำสาธารณะและมีจิตสำนึก จะไม่เกิดปัญหาแต่อย่างใด ชาวหมู่บ้านคลิตี้จะไม่เดือดร้อน ปลากระเบน ปลากะพงและหอยหลอด คงไม่ตายเช่นกัน
อนึ่ง เมื่อกล่าวถึง “สิ่งแวดล้อม” ทำให้คิดถึงภาพสมบัติของสังคมส่วนรวม แต่เมื่อกล่าวถึง “การใช้หรือหาประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม” ทำให้เห็นภาพการที่ปัจเจกชนมุ่งแสวงหาประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การปกป้องรักษาสิ่งแวดล้อมจะได้ผลดีเพียงใด ต้องอาศัยการร่วมมือจากทุกภาคส่วนและประชาชนด้วย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี