เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2512 นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา ที่เรียกกันติดปากว่า “ยายเนื่อม” ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน 2 แปลง เนื้อที่ 924 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา ซึ่งตั้งอยู่ที่อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ให้ “วัดธรรมิการามวรวิหาร” เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ดำรงสืบต่อไป แต่วัดธรรมิการามวรวิหาร ตั้งอยู่ที่เขากระจก อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ห่างไกลที่ดินตามพินัยกรรม
ในอีก 2 ปีต่อมา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2514 ยายเนื่อมเสียชีวิตและได้โอนที่ดินให้แก่วัดตามเจตนารมณ์เพื่อเป็นที่ดินธรณีสงฆ์ ต่อมาปัญหาเกิดขึ้นเมื่อที่ดินผืนดังกล่าว มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในฐานะผู้จัดการมรดกของยายเนื่อม แทนผู้จัดการมรดกเดิมซึ่งมี 3 คน (ผู้จัดการมรดกเดิมไม่ยอมขายที่ดินให้กับบุคคลอื่น) ได้โอนที่ดินให้แก่มูลนิธิก่อนโอนขายให้กับ บริษัท อัลไพน์เรียลเอสเตท จำกัด และบริษัท อัลไพน์กอล์ฟแอนด์ สปอร์ต คลับ จำกัด
ทั้งๆ ที่พินัยกรรมยายเนื่อมระบุชัดเจนว่า ยกที่ดินทั้งสองแปลงเนื้อที่ 924 ไร่ ให้วัดธรรมิการามวรวิหาร ไม่ได้ยกให้กับมูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย โดยซื้อขายกันในวันที่ 31 สิงหาคม 2533 รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 142 ล้านบาท และในวันเดียวกันนั้น ทั้งสองบริษัทนำที่ดินดังกล่าวไปจดทะเบียนจำนองที่ดินกับธนาคารเป็นเงินจำนวน 220 ล้านบาท
ต่อมาอธิบดีกรมที่ดินมีคำสั่งเพิกถอนรายการจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าว ตลอดจนรายการจดทะเบียนลำดับต่อๆ มาเนื่องจากเห็นว่าเป็นการโอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้มีส่วนได้เสีย 290 ราย อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว แต่กรมที่ดินยืนยันคำสั่งเดิม และเสนอเรื่องต่อปลัดกระทรวงมหาดไทย
สำหรับเหตุการณ์ที่ยุ่งเหยิงมาจนถึงทุกวันนี้ เพราะรองปลัดกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น พิจารณาเห็นควรให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าว จึงทำให้กลายเป็นว่าการโอนที่ดินของยายเนื่อมนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้วและเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทยคนดังกล่าว ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา (แต่จำเลยยังสามารถอุทธรณ์คดีได้) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ที่ผ่านมาปิดฉากมหากาพย์ที่ดินอัลไพน์อันยาวนาน 40 กว่าปี
โดยศาลให้เหตุผลว่า เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแก่ผู้อื่นและก่อให้เกิดความเสียหายแก่วัดธรรมิการามวรวิหาร ทั้งยังทำลายศรัทธาของผู้ที่เลื่อมใสพระพุทธศาสนา ซึ่งได้แก่ นางเนื่อม ชำนาญชาติศักดา
พื้นที่ปัจจุบันของที่ดินอัลไพน์ส่วนหนึ่งเป็นโครงการหมู่บ้านจัดสรร และจากผลของคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้คนที่อาศัยอยู่ต้องเดือดร้อนเพราะเท่ากับต้องคืนที่ดินให้กลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ ทั้งๆ ที่ตัวเองซื้อมาโดยสุจริต ทำตามขั้นตอนกฎหมาย แต่กลับต้องมาคืนที่ดินให้กับรัฐเพราะความไม่สุจริตของข้าราชการประจำที่ใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ไม่คำนึงถึงความประสงค์ของเจ้ามรดกผู้ทำพินัยกรรมที่ตั้งใจสละที่ดินมรดกให้เป็นที่ธรณีสงฆ์เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา
หลังจากนี้ ทางรัฐบาลจะมีมาตรการเยียวยาบรรเทาความเดือดร้อนผู้เสียหายอย่างไร เพราะเมื่อศาลมีคำพิพากษาว่า เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ เท่ากับที่ดินทั้งหมดต้องกลับไปเป็นที่ธรณีสงฆ์ตามเดิม แต่ในขณะนี้ยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน หรือภาครัฐจะผลักภาระให้กับผู้ซื้อต้องไปฟ้องเรียกค่าเสียหายกับผู้ขายเอาเอง ขณะคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านอัลไพน์กลับต้องนอนขวัญผวาทุกคืน เพราะสักวันต้องคืนบ้านของตัวเองให้เป็นของหลวง และความเสียหายที่เกิดขึ้นใครจะเป็นผู้เยียวยา
นอกจากนี้ยังมีผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับที่ดินอัลไพน์เป็นถึงรัฐมนตรี เคยขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่คราวนั้นรอดพ้นความผิด เพราะคดีขาดอายุความ ทั้งที่มีอายุความถึง 20 ปี โดยศาลยังไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงประเด็นแห่งคดีว่าได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่
โดยหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การยกที่ดินเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้ใดจะอ้างการครอบครองหรืออ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อต่อสู้กับแผ่นดินนั้นไม่ได้ กล่าวคือ ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น แม้จะครอบครองนานเพียงใด ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ หรือกรณีบุคคลใดเสียชีวิตโดยไม่มีทายาทโดยธรรมหรือผู้รับพินัยกรรม หรือการตั้งมูลนิธิตามพินัยกรรม มรดกของบุคคลนั้นย่อมตกทอดแก่แผ่นดิน
การยกที่ดินให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ก็เช่นกัน ที่ดินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์หรือเป็นที่ธรณีสงฆ์ทันที นับแต่เวลาที่เจ้าของกรรมสิทธิ์นั้นได้แสดงเจตนายกที่ดินหรืออุทิศที่ดินแก่วัด ส่วนกรณีที่ดินอัลไพน์ของยายเนื่อม เมื่อเจตนายกให้เป็นที่ธรณีสงฆ์โดยพินัยกรรมย่อมมีผลทันทีหลังยายเนื่อมตาย แม้จะโอนต่อไปกี่ทอดก็ตาม บุคคลที่รับโอนนั้น ไม่ได้กรรมสิทธิ์ ตามหลักที่ว่า“ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน”
สมัยก่อนคนส่วนหนึ่งหากไม่มีลูกหลาน เมื่อตัวเองตายมักจะยกทรัพย์สินที่ดินให้วัด เพราะเชื่อว่าจะได้บุญกุศล และไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับที่ดินของวัด เพราะกลัวบาป ต่างกับสมัยนี้
ผู้คนไม่เกรงกลัวบาป กล้านำที่ดินที่มีผู้อุทิศให้กับวัดมาทำเป็นสนามกอล์ฟ หมู่บ้านจัดสรร ฯลฯ หรือโอนขายกันเป็นกระบวนการ รวมถึงข้าราชการประจำที่รู้เห็นเป็นใจกับนักการเมือง
อย่างไรก็ตามที่ดินอัลไพน์ของยายเนื่อม เมื่อถึงบทสรุปสุดท้ายย่อมเข้าสุภาษิตที่ว่า ของหลวงย่อมตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ยิ่งยุคนี้ประชาชนคงได้เห็นบรรดานักการเมืองข้าราชการ คนใหญ่คนโต ที่พัวพันกับคดีทุจริตเดินขึ้นศาลและเข้าคุกมากกว่ายุคสมัยไหน และคดีที่ดินอัลไพน์คงเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่คิดจะโกงที่ดินวัด และคนที่ซื้อที่ดินต่อๆ มาได้เช่นกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี