คนเราไม่มีใครหลีกหนีความตายได้พ้น แต่ละคนจะมีวาระสุดท้ายของชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนอาจอยู่จนหมดอายุขัย บางคนอาจเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ถ้าทุกคนเลือกได้ คงจะเลือกเสียชีวิตอย่างสงบโดยไม่ต้องทุกข์ทรมานใดๆ
เมื่อไม่นานมานี้รัฐสภารัฐวิกตอเรีย ได้ผ่านร่างกฎหมายการุณยฆาต (Euthanasia) เป็นรัฐแรกของประเทศออสเตรเลีย โดยอนุญาตให้ผู้ป่วยหนักสามารถตัดสินใจเลือกจบชีวิตตัวเอง
ด้วยความช่วยเหลือจากแพทย์อย่างถูกต้องตามกฎหมาย กฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้เดือนมิ.ย. 2562 อนุญาตให้ประชาชนที่อายุ 18 ปีขึ้นไป และอาศัยในรัฐวิกตอเรียอย่างน้อย 12 เดือน สามารถขอรับยาฉีดเพื่อจบชีวิตได้ หากป่วยหนักและมีชีวิตเหลือไม่ถึง 6 เดือน โดยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์มากกว่าหนึ่งคนว่าเจ็บป่วยจากโรค ทุกข์ทรมานแสนสาหัส และมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ครบถ้วน
ทั้งยังรวมถึงโรคบางชนิดที่สร้างความเจ็บปวดให้ผู้ป่วย เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ALS ที่เกิดจากเซลล์ประสาทสั่งการเสื่อม เเละโรคที่เกิดจากปลอกประสาทในระบบประสาทส่วนกลางอักเสบ ซึ่งผู้ป่วยสามารถขอรับยาจบชีวิตได้เช่นกันแม้ยังมีชีวิตได้นานถึง 1 ปีก็ตาม ก่อนหน้านี้หลายประเทศได้ผ่านกฎหมายการุณยฆาตแล้ว เช่น เนเธอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ แคนาดา และบางมลรัฐในสหรัฐฯ
การการุณยฆาตมีที่มาจากแนวคิดตะวันตก มีข้อพิจารณา 3 ประการ คือ 1.เมื่ออยู่ในภาวะเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส 2.สิทธิส่วนบุคคลที่จะยุติชีวิตลง 3.บุคคลไม่ควรจะถูกบังคับให้ยืดชีวิตออกไปในสภาพที่ช่วยตนเองไม่ได้และไร้การรับรู้ทางสมอง หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ บุคคลทุกคนมีสิทธิเลือกที่จะตายได้ และความตายต้องไม่ถูกหยิบยื่นให้ผู้อื่น เว้นแต่ผู้เป็นเจ้าของชีวิตร้องขอเท่านั้น แต่ในทางพุทธศาสนาไม่ยอมรับ “สิทธิที่จะฆ่าตัวตาย” หรือ “Right to Die” (ไม่ว่ามีผู้อื่นช่วยเหลือหรือไม่ก็ตาม) เพราะพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับการละสังขารคือ การตายอย่างสงบ อย่างมีสติ
ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธจึงไม่ยอมรับการการุณยฆาต แต่มีพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการทำหนังสือแสดงเจตนาตายในมาตรา 12 ว่า “บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
การดําเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง เมื่อผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุขได้ปฏิบัติตามเจตนาของบุคคลตามวรรคหนึ่งแล้ว มิให้ถือว่าการกระทํานั้นเป็นความผิดและให้พ้นจากความรับผิดทั้งปวง”
กฎกระทรวงที่ออกตามความในพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 คือ ประกาศสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมาน
จากการเจ็บป่วย พ.ศ. 2553 ซึ่งวาระสุดท้ายของชีวิตตามกฎกระทรวงนี้ หมายถึง ผู้ป่วยที่อยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราหรือเจ้าหญิงนิทรา คือ ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่สามารถรับรู้อะไรได้
สำหรับบุคคลทั่วไปหรือผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี สามารถทำหนังสือแสดงเจตนาได้ด้วยตนเอง แต่ต้องปรึกษาหารือแพทย์ พยาบาล ที่มีความเข้าใจเรื่องนี้ รวมทั้งต้องแจ้งคนในครอบครัว ญาติมิตร คนใกล้ชิดรับทราบเรื่องการทำหนังสือดังกล่าวด้วย สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีนั้น ต้องให้พ่อ แม่ ผู้ปกครอง หรือญาติ ที่ให้การดูแลมีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือกับแพทย์
การแสดงเจตนาขอตายอย่างสงบไม่ได้จำกัดเพียงแค่ทำเป็นหนังสือเท่านั้น แต่อาจกระทำด้วยวาจาหรืออัดเป็นคลิปวีดีโอ ในอดีตเคยมีนักร้องลูกทุ่งชื่อดังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายอัดคลิปวีดีโอว่า จะไม่ขอรับบริการสาธารณสุขไว้ล่วงหน้ามอบไว้กับญาติ เพื่อเป็นหลักฐานให้แพทย์สบายใจ ป้องกันการถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ซึ่งแพทย์และพยาบาล ได้เคารพและปฏิบัติตามเจตนารมณ์ดังกล่าว
หลักการหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าวต่างกับการุณยฆาต เพราะหนังสือแสดงเจตนาเป็นเรื่องความประสงค์จะตายตามธรรมชาติ ให้แพทย์หยุดรักษา ไม่ต้องการยืดเวลาตายด้วยการใช้ยากระตุ้นอวัยวะ เช่น ยาเพิ่มหรือลดความดัน และร่างกายจะไม่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยเครื่องมือจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ ส่วนการุณยฆาตเป็นกรณีผู้ป่วยอาการหนักขอรับยาเพื่อจบชีวิตด้วยตนเองหรือจากแพทย์ช่วยเหลือทำให้ตาย เพื่อไม่ต้องทุกข์ทรมานจากโรค ซึ่งเปรียบเสมือนเร่งการตายนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผู้ป่วยจะแสดงความจำนงขอจบชีวิตอย่างสงบ หรือขอรับยาเพื่อจบชีวิต(การุณยฆาต) ล้วนเป็นไปเพื่อไม่ต้องการให้ตัวเองทรมานในวาระสุดท้าย อันเป็นความปรารถนาสุดท้ายของคนป่วยที่ควรจะได้รับ แม้บางครั้งอาจขัดความรู้สึกญาติพี่น้องที่ไม่ยอมรับการสูญเสีย หรือเมื่อผู้ป่วยทำหนังสือแสดงเจตนาตายไว้ แต่ยังมีการถกเถียงกันถึงความแท้จริงของหนังสือนี้ ระหว่างแพทย์กับญาติผู้ป่วย และหากแพทย์ปล่อยให้ผู้ป่วยตายโดยไม่ช่วยเหลือย่อมมีความผิดทางอาญา
ปัจจุบันจึงมีแนวความคิดที่จะออกกฎหมายยกเว้นความรับผิดทางอาญาให้แพทย์ โดยให้แพทย์รับผิดเพียงทางแพ่งเท่านั้น เว้นแต่กรณีที่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ที่แพทย์ยังต้องรับผิดทางอาญา แต่ให้อยู่ในความควบคุมของแพทยสภาเท่านั้น เพื่อเป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายและเพื่อไม่เป็นการบั่นทอนกำลังใจแพทย์ในการทำงาน และต้องมารับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
การการุณยฆาต หรือแม้แต่การทำหนังสือแสดงเจตนาการตาย ถือเป็นความประสงค์ของผู้ป่วยครั้งสุดท้าย ขึ้นอยู่กับแต่ละสังคมจะเลือกวิธีการใดมาปรับใช้เพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาด้านกฎหมาย เช่น สิทธิในการรับเงินตามสัญญาประกันชีวิต ซึ่งบริษัทประกันจะไม่จ่ายสินไหมในกรณีผู้เอาประกันชีวิตฆ่าตัวตายภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ทำประกันชีวิต และด้านอื่นๆ ตามมา
คนในครอบครัว ญาติมิตร ควรเคารพการตัดสินใจที่สำคัญของผู้ป่วยในวาระสุดท้ายของชีวิต
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี