ปัญหาของกระบวนการยุติธรรมทางอาญาอย่างหนึ่งคือการประกันตัวหรือขอปล่อยตัวชั่วคราว เพราะจำเลยในคดีอาญาเมื่อถูกฟ้องข้อหาร้ายแรง มีอัตราโทษจำคุกสูง ศาลอาจไม่อนุญาตให้ประกันตัว เพราะเกรงว่า จะหลบหนี หรือหากอนุญาตประกันตัว ก็ต้องใช้หลักทรัพย์หรือหลักประกันจำนวนมาก
การหาหลักทรัพย์ประกันตัวจึงกลายเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับคนที่ไม่มีเงินทองต่อสู้คดีในชั้นศาล ยิ่งถ้าสู้กันถึงศาลฎีกาที่ต้องใช้ระยะเวลา 5-7 ปีแล้ว หากไม่ได้ประกันตัวในระหว่างนี้ จำเลยจะหมดสิทธิ์ได้ออกมาชมโลกภายนอกอีกเลย
เมื่อไม่นานมานี้ สำนักงานศาลยุติธรรมใช้วิธีการประเมินความเสี่ยงเพื่อปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยโดยไม่ใช้หลักประกัน เริ่มทดลองใช้ 5 แห่ง คือ ศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช,ศาลจังหวัดจันทบุรี, ศาลอาญากรุงเทพใต้, ศาลจังหวัดกาฬสินธุ์ และศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งการประเมินความเสี่ยงระยะแรกใช้กับคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ระยะต่อไปจะขยายเป็นอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หากวิธีการนี้ได้ผลดี ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่หลบหนี และลดปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยได้ จะขยายเป็นทุกอัตราโทษ
การใช้แบบประเมินความเสี่ยงนั้น ใช้เฉพาะศาลชั้นต้นและคดีที่ศาลยังไม่ตัดสินเท่านั้น โดยเริ่มตั้งแต่ชั้นฝากขังผู้ต้องหาส่วนคดีที่อยู่ระหว่างอุทธรณ์และฎีกา จะไม่นำมาใช้เพราะถือว่าศาลชั้นต้นตัดสินแล้วว่า จำเลยมีความผิด และจะประเมินจากประวัติการก่อเหตุอาชญากร พฤติการณ์ในคดี, ความเสี่ยงการหลบหนี, ความเสี่ยงการก่อเหตุซ้ำ, ความเสี่ยงการก่อให้เกิดอันตรายต่อสังคม, ความเสี่ยงที่จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและฐานข้อมูลส่วนตัวของบุคคลนั้น ประกอบการพิจารณาของผู้พิพากษา
ก่อนหน้านี้ได้เคยมีข้อเรียกร้องในการใช้แบบประเมินความเสี่ยงแทนหลักประกัน พร้อมทั้งล่ารายชื่อผู้สนับสนุนเพื่อยื่นต่อคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม จากคณาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในโครงการ “ต้องไม่มีใครติดคุกเพราะจน” การติดคุกเพราะความจนเป็นการแสดงให้เห็นถึงความไม่เท่าเทียมกันของสิทธิเสรีภาพในการต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม
ทั้งนี้ตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายในคดีอาญาว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยยังบริสุทธิ์อยู่ จนกว่าจะได้มีคำพิพากษาของศาลว่ากระทำความผิดจริง การปล่อยตัวชั่วคราวจึงเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เพื่อให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยไปแสวงหาพยานหลักฐานมาต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง ซึ่งหลักการตรงนี้ ได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศมาโดยตลอด
มีงานวิจัยต่างประเทศพบว่า การถูกคุมขังระหว่างพิจารณา จะส่งผลให้คนที่ไม่ได้ทำความผิดยอมรับสารภาพมากขึ้น เพียงเพราะต้องการให้คดียุติและจะได้กลับบ้านไปเจอหน้าครอบครัว ทั้งยังก่อให้เกิดผลร้ายอีกประการคือ แม้จะให้การปฏิเสธ แต่ด้วยการต่อสู้คดีที่ไม่มีประสิทธิภาพ อาจทำให้จำเลยถูกตัดสินว่ากระทำผิด และต้องโทษจำคุกนานกว่าที่ควร หากไม่ได้รับอิสรภาพตั้งแต่ต้นเพื่อมาเตรียมการสู้คดี ซึ่งไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยจำนวนหนึ่งต้องยอมรับสารภาพ เพราะไม่อยากเสียเงินเสียทองในการต่อสู้คดี มิใช่
รับสารภาพเพราะจำนนด้วยพยานหลักฐาน
การปล่อยตัวชั่วคราวในไทย โดยไม่มีประกันและหลักประกัน ในทางปฏิบัติที่ใช้อยู่ก่อนวิธีประเมินความเสี่ยงคือ คดีของศาลแขวงที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท เช่น คดีตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 หากเช็คที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินมีจำนวนเงินไม่สูง หรือมีพฤติการณ์อื่นใดเป็นพิเศษ ศาลจะให้จำเลยสาบานตนและปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีประกันและหลักประกัน เพราะคดีประเภทนี้แม้เป็นความผิดทางอาญา แต่เมื่อจำเลยชำระเงินตามเช็คก่อนศาลพิพากษาถึงที่สุด ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
นอกจากนี้แนวทางการประเมินความเสี่ยง อาจใช้ร่วมกับการติดตามควบคุมพฤติกรรมจำเลยด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Monitoring : EM) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความที่เพิ่งแก้ไขเพิ่มเติม เช่น ใช้กำไล EM ควบคุมพฤติกรรม แต่การใช้อุปกรณ์ EM กับผู้ต้องหาหรือจำเลยก็ต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชนเช่นกัน พอๆ กับการพิจารณาปล่อยตัวผู้ต้องหาด้วย
จากการศึกษาพบว่า การใช้งบประมาณในการประเมินความเสี่ยงปล่อยตัวชั่วคราว สามารถลดงบประมาณการดูแลผู้ต้องขังได้ประมาณ 10% ต่อคนต่อปี จากปกติที่รัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายดูแลผู้ถูกขังประมาณ 30,000-40,000 บาทต่อคนต่อปี และจากสถิติผู้ต้องขังในเรือนจำกรมราชทัณฑ์ เมื่อ 1 มกราคม 2560 ที่มีผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างการสอบสวนและการพิจารณาของศาล 59,070 คน จากผู้ต้องขังทั้งหมด 289,675 คน หรือ 20.29% ของผู้ต้องขังทั้งหมด ส่วนมากเป็นคดีร้ายแรงหรือไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว
การถูกคุมขังระหว่างพิจารณาแม้จะช่วงสั้นๆ แต่ก่อผลกระทบรุนแรงต่อจิตใจและการดำรงชีวิตของผู้ถูกคุมขังโดยเฉพาะผู้ยากไร้ รายได้น้อย หาเช้ากินค่ำและเป็นเสาหลักของครอบครัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าหัวหน้าครอบครัวถูกศาลตัดสินผิดจริง บุคคลที่อยู่ข้างหลังจะเป็นภาระของสังคมมากแค่ไหน
ในอนาคต หากวิธีประเมินความเสี่ยงใช้ได้ผลมากขึ้นและใช้กับศาลทั่วประเทศ จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมมากขึ้น ลบข้อครหาที่ว่า “คุกมีไว้ขังเฉพาะคนจน” การจับแพะหรือจับผิดตัวก็จะลดลง เพราะผู้ต้องหาหรือจำเลยย่อมมีโอกาสไปแสวงหาพยานหลักฐานมาหักล้างและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้มากขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐในการดูแลผู้ต้องขัง แต่การประเมินความเสี่ยงควรจะพิจารณาเหตุผลสภาพแวดล้อมให้รอบด้าน รวมถึงดุลพินิจที่ควรใช้อย่างระมัดระวังเช่นกัน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี