อุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับสร้างความสูญเสียให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นอย่างมาก หลายๆ ครอบครัวต้องสูญเสียผู้นำครอบครัวแบบไม่มีวันกลับ เพียงเพราะความประมาทของคนเพียงคนเดียว
ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วง 7 วันอันตราย (28 ธ.ค.2560-3 ม.ค.2561) มีผู้เสียชีวิต 423 คน ผู้บาดเจ็บ 4,005 คน สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา 43.66% ขับรถเร็วเกินกำหนด 25.23% และอื่นๆ อีก 31.11%
นอกจากสถิติดังกล่าว ยังมีผู้ที่ไม่ได้เสียชีวิต แต่พิการหรือทุพพลภาพอีกจำนวนหนึ่ง ที่ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างทุกข์ทรมาน ส่วนผู้กระทำผิดมักอ้างเสมอว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ คิดว่าตัวเองดื่มเพียงนิด ไม่ทำให้เมาและยังขับรถไหว สุดท้ายเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ไม่สามารถกลับไปแก้ไขอะไรได้อีกเลย
การเมาแล้วขับนั้น บางคนขับรถไปชนคนอื่นด้วยความตกใจ จึงลากคนที่ชนติดไปกับรถหลายร้อยเมตร กรณีแบบนี้คนขับย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า คนที่ถูกชนอาจจะเสียชีวิตได้ หรือบางครั้งคนที่เมาแล้วขับไปเฉี่ยวชนคน ทำให้เสียหลัก ถูกรถคันที่ตามหลังมาเหยียบซ้ำจนเสียชีวิต เช่นนี้ความตายย่อมเป็นผลโดยตรงมาจากรถคันที่เฉี่ยวชน
ศาลฎีกาได้ตัดสินเป็นบรรทัดฐานมาตลอดว่า การเมาแล้วขับนั้นเป็นความผิดฐานกระทำโดยประมาท แต่จริงๆแล้วคนที่เมาแล้วขับรถไปชนคนอื่น ย่อมสามารถคาดการณ์หรือย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ความมึนเมาทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะลดลง มีโอกาสสูงจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ถือเป็นความผิดโดยเจตนาได้เช่นกัน ซึ่งความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามีอัตราโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ถึง 20 ปี ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 วางหลักว่า “ถ้าการเมาแล้วขับนั้น เป็นสาเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสองแสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่”
ความผิดฐานเมาแล้วขับ กฎหมายยังให้อำนาจศาลสั่งริบรถยนต์ที่ขับขณะเมาสุราได้ เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ขณะกระทำผิดนอกจากนั้นตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 ยังควบคุมการจำหน่ายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อเป็นมาตรการลงโทษสำหรับความผิดในการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในขณะขับขี่ยานพาหนะ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพสังคมปัจจุบัน
คดีเมาแล้วขับบางคดีเมื่อศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดของจำเลยสูงมาก จนน่าจะเกิดอันตรายแก่ประชาชนโดยรวม ศาลอาจจะลงโทษจำเลยโดยไม่รอลงอาญา และเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ แสดงให้เห็นว่าเมาแล้วขับนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง ควรมีบทลงโทษให้หลาบจำ ยำเกรงต่อกฎหมาย ไม่ใช่ว่าจ่ายค่าปรับแล้วทุกอย่างจบ
แม้การเมาแล้วขับมีโทษทั้งจำคุก ปรับ ริบทรัพย์สิน แต่ยังมีคนฝ่าฝืนอยู่เสมอๆ ทั้งที่ภาครัฐมีนโยบายรณรงค์เมาไม่ขับ ใช้คำขวัญหรือสโลแกน “เมาไม่ขับ ให้กลับแท็กซี่” หรือใช้ดารานักแสดงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ หวังให้เป็นตัวอย่างของเยาวชนและบุคคลทั่วไป แต่บางครั้งดารานักแสดงกลับกลายเป็นคนทำผิดเสียเอง และจำเลยในคดีเมาแล้วขับหลายๆ คดี ไม่ค่อยสำนึก กลับไปก่อเหตุอีก
เคยมีกรณีดารานักแสดงสาวคนหนึ่ง ขับรถชนตำรวจที่จอดรถพักผ่อนบนมอเตอร์เวย์เสียชีวิตทันที ในคราวนั้นยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า เกิดจากเมาแล้วขับหรือไม่ แต่คดีนั้นศาลเมตตารอลงอาญา ต่อมาไม่นาน นักแสดงสาวคนนี้ได้ก่อเหตุทำนองเดียวกันคือ ขับรถชนรถยนต์ผู้อื่น เมื่อถูกจับกลับอาละวาด เอะอะโวยวาย ทำลายทรัพย์สิน เนื่องจากเมาสุรา และต่อมาตำรวจส่งตัวดำเนินคดีข้อหาเมาแล้วขับ
จึงทำให้สังคมเกิดข้อสงสัยต่อการกระทำผิดครั้งแรกของนักแสดงสาว ที่สังคมเคยให้ความเห็นใจเพราะถือว่าเพิ่งกระทำผิดครั้งแรก ประกอบกับได้บรรเทาความเสียหายให้ญาติผู้เสียชีวิตจนไม่ติดใจเอาความ จึงเป็นความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต ซึ่งกฎหมายไม่ได้กำหนดอัตราโทษขั้นต่ำไว้และลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี จึงอยู่ในวิสัยที่ศาลจะรอลงอาญาได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาก่อเหตุในลักษณะใกล้เคียงกันในเวลาไม่กี่ปี เท่ากับว่าเหตุการณ์ในคราวนั้น ไม่ได้เป็นเครื่องเตือนใจหรือเตือนสติแต่อย่างใด
ยิ่งเมื่อช่วงปลายปี 2560 ที่ผ่านมา เครือข่ายองค์กรงดเหล้า พร้อมภาคี ได้เข้ายื่นหนังสือต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เรียกร้องให้เพิ่มโทษเมาแล้วขับให้สูงขึ้น ไม่ใช่แค่ฐานกระทำผิดโดยประมาท สืบเนื่องจากมีคนเมาแล้วขับชนคนเสียชีวิต 5 ศพ ที่จงตรัง ศาลลงโทษจำคุก 4 ปี ปรับ 3,400 บาท ทางภาคีเครือข่ายเห็นว่า ไม่ใช่แค่ประมาท แต่เป็นความผิดโดยเจตนา น่าจะมีบทลงโทษที่หนักกว่านี้ ความสูญเสียแต่ละครั้งมีมาก ซึ่งปัญหาอยู่ที่การตีความกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม
การบังคับใช้กฎหมายจึงต้องจริงจังและควรมีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบติดตามพฤติกรรมของผู้กระทำความผิดฐานเมาแล้วขับ ในระหว่างที่ศาลรอการลงโทษไว้ หรือให้ไปรายตัว เข้ารับการอบรม กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่หากคดีนั้นเกิดจากเมาแล้วขับ มีคนเสียชีวิตหลายคน ผู้กระทำความผิดสมควรถูกลงโทษให้ได้สัดส่วนกับความผิดที่ตัวเองก่อขึ้น เพื่อให้หลาบจำ
หากผู้กระทำผิดไม่สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มได้ หรือมีความจำเป็นต้องขับรถในขณะมึนเมา ควรเตรียมตัวเตรียมใจยอมรับบทลงโทษของกฎหมาย ซึ่งในส่วนบทลงโทษการจะพิจารณาการเมาแล้วขับ ให้เป็นความผิดที่กระทำโดยเจตนานั้น ต้องอาศัยการตีความจากศาลที่พิจารณาคดีนั้น เพราะสุดท้ายแล้ว จะเป็นบรรทัดฐานให้กับคดีอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี