** ภาวะอัตราดอกเบี้ยในโลกจะอยู่ในช่วงขาขึ้น...เพราะการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องของสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปลายปี 2016...ทำให้หลายๆ ประเทศที่เป็นยักษ์ใหญ่ของเศรษฐกิจโลกก็เริ่มขยับดอกเบี้ยขึ้นตาม...ใกล้ตัวเราหน่อยก็เช่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย ก็เริ่มขึ้นดอกเบี้ยแล้ว...นอกจากนี้ด้วยสภาพเศรษฐกิจของสหรัฐที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น..ทำให้ตลาดเงินทั่วโลก...ต่างคาดการณ์กันว่า...ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)... จะขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้....
อย่างไรก็ตาม...สำหรับประเทศไทยนั้น หลายฝ่ายจับดาดูท่าทีของ ธนาคารแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)...ว่าจะทนแรงเสียดทานจากกระแสกดดันที่ เฟดขึ้นดอกเบี้ยได้นานแค่ไหน...เพราะถึงปัจจุบันนี้..กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%...มากว่า 2 ปีแล้ว..และหากยังคงอัตรานี้ต่อไปในปีนี้..และเฟดขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้ ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้... จะทำให้ดอกเบี้ยไทยต่ำกว่าดอกเบี้ยสหรัฐถึง 0.75%...
ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี จนกระทั่งล่าสุดเมื่อการประชุม กนง.เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ที่ผ่านมา...เหตุผลที่ทำให้ กนง.ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ...เพราะอยากจะเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยชัดเจนมากกว่านี้ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน ที่นิ่งสนิทมานานกว่า 2 ปี แล้ว ไม่ว่ารัฐบาลจะพยายามออกมาตรการกระตุ้นเท่าใดแต่ก็ไม่ขยับเลย...
และต้องยอมรับว่า..ขึ้นดอกเบี้ยของ ธปท. ย่อมทำให้ภาระค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยของธุรกิจต่างๆ เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งธุรกิจที่หลายฝ่ายเป็นห่วงมากที่สุดคือ กลุ่ม ธุรกิจ SMEs ซึ่ง ณ สิ้นปี 2017 มียอดคงค้างสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ทั้งสิ้น 4.86 ล้านล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อที่ใช้อัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่อ้างอิงจากอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ Minimum Retail Rate (MRR) และอัตราดอกเบี้ยเงินเบิกเกินบัญชี หรือ Minimum Overdraft Rate (MOR)…
ตัวเลขจากธนาคารพาณิชย์...ระบุว่าการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% จะทำให้ MRR และ MOR ปรับขึ้นประมาณ 0.13% ....ซึ่งหากมีการปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น ภาระดอกเบี้ยของ SMEs ทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6.24 พันล้านบาท....
และเมื่อมองอีกมุม...เมื่ออัตราดอกเบี้ยของไทย ที่ต่ำกว่าดอกเบี้ยเฟด... จะยิ่งเป็นการสนับสนุนให้นักลงทุนหันมาระดมทุนในไทยที่ดอกเบี้ยถูกกว่าและนำไปลงทุนต่างประเทศเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า.... ไม่ว่าจะไปลงทุนโดยตรง หรือลงทุนในสินทรัพย์....
ส่วนความกังวลเรื่องเงินทุนไหลออก...คงไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้แบงก์ชาติกังวล ตรงกันข้ามอาจจะแอบดีใจด้วยที่มาเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงบ้างจากปัจจุบัน...ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อการส่งออก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อโครงสร้างเศรษฐกิจไทยขณะนี้...
ด้วยปัจจัยและเงื่อนไขสำคัญๆ ตอนนี้...ตลาดน่าจะเดาทางได้ออกว่า...กนง.จะยังไม่รีบร้อนขยับดอกเบี้ยในปีนี้แน่นอน...
พงษ์พันธุ์
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี