เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2561 ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชดใช้ค่าเสียหายจำนวนกว่า 9,000 ล้านบาท ให้กับ บริษัทเอกชนในโครงการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ
ย้อนไปเมื่อปี 2554 คณะอนุญาโตตุลาการตัดสินให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินที่ค้างชำระและค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินกว่า 9,000 ล้านบาท ให้กับบริษัทเอกชนและในปี 2557 ศาลปกครองสูงสุดได้เห็นชอบให้จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายตาม คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ต่อมาในปี 2558 คณะรัฐมนตรีมีมติให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายให้กับบริษัทเอกชนตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด 2 งวด งวดแรก จำนวน 3,000 กว่าล้านบาท งวดที่ 2 จำนวน 2,000 กว่าล้านบาท แต่ได้ขออายัดการจ่ายเงินไว้ก่อน กระทั่งล่าสุด กรมควบคุมมลพิษร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่
เหตุผลที่กรมควบคุมมลพิษร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ กรมควบคุมมลพิษได้อ้างคำพิพากษาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คำพิพากษาของศาลแขวงดุสิต และคำพิพากษาของศาลอาญา ที่ได้ตัดสินลงโทษอดีตข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในโครงการกว่า 23,700 ล้านบาท เพื่อแสดงให้ศาลปกครองกลางเห็นว่า การดำเนินโครงการไม่ถูกต้องตามกฎหมาย มีการร่วมกันวางแผนและเอื้อประโยชน์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐในฐานะผู้แทนฝ่ายผู้ว่าจ้างกับฝ่ายผู้รับจ้าง คือบริษัทเอกชน
การยื่นคำขอพิจารณาคดีใหม่ของกรมควบคุมมลพิษเป็นการยื่นตามมาตรา 75 (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งวางหลักว่า“ในกรณีที่ศาลปกครองได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองเสร็จเด็ดขาดแล้วคู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียหรืออาจถูกกระทบจากผลแห่งคดีนั้น อาจมีคำขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองนั้นใหม่ได้ในกรณี ดังต่อไปนี้
(1) ศาลปกครองฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญ............”
ศาลปกครองกลางพิจารณาจากข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายแล้วเห็นว่า กรณีดังกล่าวมีการทุจริตเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชน การกระทำของเจ้าหน้าที่กรมควบคุมมลพิษได้ดำเนินการ
ขัดต่อระเบียบราชการ มติรัฐมนตรีและกฎหมาย ทั้งในขั้นตอนการพิจารณาคัดเลือกผู้มีคุณสมบัติเหมาะสม การจัดหาที่ดิน การประกวดราคา มีการแก้ไขข้อความในร่างสัญญาที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานอัยการสูงสุดในส่วนที่เป็นสาระสำคัญทำให้ราชการได้รับความเสียหายและบริษัทเอกชนได้รับประโยชน์
สัญญาโครงการออกแบบรวมบ่อบำบัดน้ำเสีย เกิดจากการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ผูกพันกรมควบคุมมลพิษคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ให้กรมควบคุมมลพิษชำระค่าเสียหาย จึงมีเหตุให้เพิกถอนได้ตามมาตรา 40 วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 แต่อย่างไรก็ตามคำสั่งศาลปกครองกลางยังไม่ถึงที่สุด บริษัทเอกชนมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดได้ภายในกำหนด 30 วัน
โดยหลักของกฎหมายที่เกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการหลังจากที่อนุญาโตตุลาการได้มีคำชี้ขาดแล้วคู่ความจะอุทธรณ์หรือฎีกาอีกไม่ได้ แต่คู่พิพาทฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจขอให้ศาลที่มีเขตอำนาจเพิกถอนคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้ หากมีเหตุตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ได้
ปัจจุบันประเทศไทยยังมีกฎหมายที่เกี่ยวกับอนุญาโตตุลาการในศาล คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ในทางปฏิบัติไม่ค่อยได้ใช้เพราะหากมีการฟ้องคดีต่อศาลแล้วย่อมเป็นการยากที่คู่กรณีจะตกลงกันนำคดีไปให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาชี้ขาด
แต่จะใช้อนุญาโตตุลาการนอกศาลตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 ซึ่งใช้บังคับกับอนุญาโตตุลาการข้อพิพาทภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ทำขึ้นในประเทศไทยและการบังคับตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ทำขึ้นในประเทศไทยและที่ทำขึ้นในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตามขณะนี้ได้มีร่างพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ(ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....ซึ่งจะออกบังคับใช้เป็นกฎหมาย ให้ศาลไทยสามารถเพิกถอนตามมาตรา 40 ได้เฉพาะการบังคับ ตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ขึ้นในประเทศไทยเท่านั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติว่าอนุญาโตตุลาการที่ทำในต่างประเทศจะไม่ถูกเพิกถอนในประเทศไทย
การระงับข้อพิพาททางอนุญาโตตุลาการส่วนใหญ่ใช้ในกรณีที่เป็นสัญญาประกอบธุรกิจ มีทุนทรัพย์สูงระหว่างเอกชนด้วยกันหรือรัฐกับเอกชน หรือแม้แต่การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศกรณีรัฐต่อรัฐหรือรัฐกับเอกชน เพราะเป็นการสะดวกและรวดเร็วกว่าการฟ้องคดีต่อศาล รวมทั้งการได้บุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่พิพาทกันโดยเฉพาะแต่มีข้อเสีย คือคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ใช่คำพิพากษาของศาลจึงอาจถูกเพิกถอนได้ดังเช่นคดีคลองด่าน
หลังจากนี้จึงต้องติดตามต่อไปว่าจะมีการอุทธรณ์คดีคลองด่านอีกหรือไม่ และหากคดีถึงที่สุดแล้วรัฐไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายกว่า 9,000 ล้านบาท เงินค่าเสียหายก่อนหน้านี้ตามมติคณะรัฐมนตรี หน่วยงานใดจะเป็นฝ่ายเรียกคืนเพราะเป็นเงินที่มาจากภาษีอากรของประชาชน รวมถึงที่ดินบริเวณคลองด่านจะนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้อีกหรือไม่นอกเหนือจากโครงการบ่อบำบัดน้ำเสีย
โครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านนั้น เคยเป็นความหวังว่าจะเป็นระบบบำบัดน้ำเสีย ที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชียด้วยศักยภาพในการบำบัดน้ำเสีย 5.25 แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน แต่จากการทุจริตอย่างมโหฬาร การวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน มีความสลับซับซ้อน สร้างความเสียหายให้กับรัฐเป็นอย่างมาก
แม้ว่านักการเมืองหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตจะหลบหนีหรือล้มหายตายจากไปบ้างแล้ว แต่สังคมไม่เคยลืมความเจ็บปวดของคดีคลองด่าน
คำพิพากษาล่าสุดของศาลปกครองกลางจึงเปรียบเสมือนแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่รัฐไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายจำนวนกว่า 9,000 ล้านบาท เพื่อแลกกับซากโครงการคลองด่าน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี