เมื่อ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 ที่ผ่านมา มีประกาศกรมศุลกากร 2 ฉบับ ซึ่งมีผลบังคับใช้ เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรสำหรับผู้เดินทางเข้าออกประเทศไทย คือ ประกาศที่ 59/2561 เรื่อง “หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการปฏิบัติการศุลกากรในการตรวจปล่อยผู้โดยสารและหีบห่อสัมภาระระหว่างสนามบินภายในประเทศ โดยวิธีการ “Check Through” และประกาศกรมศุลกากรที่ 60 / 2561 เรื่อง “การปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัว เข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางท่าอากาศยาน” ทั้งสองประกาศออกตามความในพระราชบัญญัติศุลกากรฉบับใหม่ พ.ศ. 2560
ประกาศที่ 59/2561 สาระสำคัญคือ สำหรับเที่ยวบินขาเข้าจากต่างประเทศ เข้ามาในประเทศไทย แล้วต่อเครื่องไปยังสนามบินอื่นในไทย ไม่ว่าเที่ยวบินเดิมหรือเปลี่ยนเที่ยวบิน ให้ศุลกากรตรวจสัมภาระที่สนามบินแห่งแรก และตรวจหีบห่อสัมภาระที่บรรทุกใต้ท้องเครื่องบิน ที่สนามบินปลายทาง เพื่อตรวจสอบสิ่งของที่ต้องเสียภาษีอากร
สำหรับผู้โดยสารขาเข้าจากต่างประเทศ ของส่วนตัวที่เจ้าของนำเข้ามาพร้อมกับตนทางอากาศยานที่ได้รับการยกเว้นอากร คือ ของส่วนตัวที่เจ้าของนำเข้ามาพร้อมกับตนสำหรับใช้เองหรือใช้ในวิชาชีพและมีจำนวนพอสมควร มีราคารวมกันไม่เกิน 20,000 บาท ให้ได้รับยกเว้นอากร
หากสิ่งของอื่นที่ผู้โดยสารนำติดตัวเข้ามาพร้อมกับตน (Accompanied Baggage) ในวันเดินทางมาจากต่างประเทศ โดยไม่เป็นของต้องห้าม หรือของต้องจำกัดในการนำเข้า มีมูลค่ารวมกันไม่เกิน 20,000 บาท หรือเป็นของที่มีมูลค่าเกินกว่า 20,000 บาท และนำติดตัวเข้ามาเพียงชิ้นเดียว ให้อยู่ในอำนาจของพนักงานศุลกากรที่ดูแลโดยตรงจัดเก็บอากรปากระวาง
ความหมายของอากรปากระวาง หมายถึง อากรที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรเรียกเก็บจากของที่ผู้เดินทางพาติดตัวเข้ามาในราชอาณาจักร ณ จุดผ่านแดนถาวรหรือจุดผ่อนปรนทางการค้าโดยไม่ต้องผ่านพิธีการใบขนสินค้า แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กรมศุลกากรกำหนด ทั้งนี้กรมศุลกากรกล่าวว่า เพื่อความสะดวกของผู้โดยสารที่นำสิ่งของเข้ามาในราชอาณาจักร ไม่ต้องผ่านพิธีการที่ยุ่งยาก
ส่วนประกาศที่ 60 / 2561 สาระสำคัญ คือ กรณีเดินทางออกนอกประเทศ หากจะนำของมีค่าออกไป เช่น นาฬิกา กล้องถ่ายวีดีโอ กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ที่มีเครื่องหมาย เลขหมาย (Serial Number) ที่สามารถตรวจสอบได้ให้แจ้งต่อพนักงานศุลกากร ณ ห้องที่ทำการศุลกากรบริเวณห้องผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เพื่อเป็นหลักฐานในการขอรับการยกเว้นอากรในฐานะของใช้ส่วนตัวตอนนำติดตัวกลับเข้ามาพร้อมกับตน แต่ถ้าเป็นของมีค่าหรือของส่วนตัวที่ผู้โดยสารนำติดตัวไปขณะเดินทางออกนอกประเทศ ที่ใช้เป็นปกติวิสัยในระหว่างการเดินทาง หรือเครื่องประดับการแต่งกายตามปกติ ไม่ต้องแจ้งต่อพนักงานศุลกากร
อย่างไรก็ตาม ประกาศทั้ง 2 ฉบับ ยังสร้างความสับสนและสร้างความยุ่งยากให้กับผู้ที่เดินทางอยู่ไม่น้อย เนื่องจากกรณีที่เดินทางออกนอกประเทศแล้วนำสิ่งของประเภท กล้องถ่ายรูปคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค นาฬิกา ซึ่งต้องแจ้งล่วงหน้าในฐานะของใช้ส่วนตัวก่อนเดินทางออกนอกราชอาณาจักร พร้อมทั้งนำภาพถ่ายของสิ่งของที่นำมาแจ้งจำนวน 2 ชุด ต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระแก่ผู้ที่จะเดินทางเพราะโดยปกติสิ่งของเหล่านี้ถือเป็นของใช้ส่วนตัวอยู่แล้วแม้บางยี่ห้อ บางรุ่น อาจจะมีราคาสูง แต่คนส่วนใหญ่ย่อมพกติดตัวไปเวลาเดินทาง
การให้แจ้งล่วงหน้าพร้อมภาพถ่าย หากผู้โดยสารแจ้งพร้อมกันทุกคนก่อนเดินทาง ปัญหาต่อไปจึงไม่ได้อยู่ที่ผู้ที่โดยสาร แต่อยู่ที่เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะมีจำนวนมากเพียงพอกับการปฏิบัติงาน และจะอำนวยความสะดวกให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยรวดเร็วได้หรือไม่ เพราะท่าอากาศยานนับว่ามีจำนวนผู้โดยสารหนาแน่นมากพออยู่แล้ว การใช้เวลาเช็คอินก่อนขึ้นเครื่องยังต่อคิวกันยาวเหยียด หากว่าต้องส่งรูปถ่ายพร้อมกับการตรวจสอบสิ่งของที่นำไปย่อมต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้องอีก ว่าสิ่งของกับภาพถ่ายที่นำออกไปนั้นตรงกันหรือไม่
และเมื่อมีขั้นตอนในส่วนนี้ ผู้ที่จะเดินทางต้องเร่งรีบมายังสนามบินล่วงหน้าก่อนเวลาปกติ
หากเกิดการล่าช้าจนเป็นเหตุให้ผู้เดินทางตกเครื่องบิน หรือขึ้นเครื่องบิน เพื่อเดินทางไม่ทัน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบต่อขั้นตอนที่ต้องใช้เวลานานนี้ ?
เป็นเรื่องที่ดีหากศุลกากรจะทำการตรวจสอบสิ่งของมีค่า ที่นำออกไปหรือเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีหรือสำแดงเท็จ เพราะหากว่าสิ่งของที่นำออกไปมีมูลค่าสูง และไม่ได้แจ้งต่อศุลกากรก่อนตอนนำออกไป เมื่อนำกลับเข้ามาอาจเกิดปัญหาว่าเป็นสิ่งของที่ซื้อมาใหม่และอยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีหรือไม่ ในข้อนี้ย่อมเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้โดยสารกับเจ้าหน้าที่อาจเกิดการโต้เถียงกันเมื่อนำกลับเข้ามาและไม่มีหลักฐานมาแสดงว่าได้มาอย่างไร หรือเมื่อนำสิ่งของเข้ามาในราชอาณาจักรที่ไม่ใช่ของใช้ส่วนตัว หรือแม้ที่เป็นของใช้ส่วนตัวแต่มีจำนวนมากเกินไปเข้าข่ายที่ต้องเสียภาษี
ก่อนหน้านี้เคยมีกรณี ดาราสาวคนดังซื้อกระเป๋ามียี่ห้อหรือแบรนด์เนม จากต่างประเทศในราคาที่เกิน 20,000 บาท แล้วโพสต์รูปลงในอินสตาแกรม ซึ่งต่อมาเมื่อมีคนเข้าไปเห็นรูปกระเป๋าหลายใบในอินสตาแกรม จึงมีการตั้งคำถามว่าเมื่อนำเข้ามาในราชอาณาจักรแล้วได้จ่ายภาษีถูกต้องหรือไม่ แต่ดาราคนดังกล่าวได้ออกมาตอบโต้ว่า ยังไม่ได้นำกระเป๋าดังกล่าวมาแต่อย่างใด
การหลบเลี่ยงภาษีมักมีวิธีการหลากหลายรูปแบบ เช่น กรมสรรพากรเคยตรวจสอบพบว่า ผู้มีรายได้ที่เป็นบุคคลธรรมดามีเงินได้จำนวนมาก ใช้วิธีหลบเลี่ยงภาษีด้วยการตั้งคณะบุคคลขึ้นมาหลายๆ คณะ และจะมีชื่อผู้มีเงินได้อยู่ในทุกคณะบุคคล เพื่อเป็นการกระจายฐานรายได้ของผู้มีเงินได้ที่แท้จริง ทำให้เสียภาษีอัตราต่ำ
ล่าสุดกรมศุลกากรได้ประกาศผ่อนผันในช่วงสงกรานต์ที่มีคนเดินทางเป็นจำนวนมาก ไม่ต้องแจ้งของใช้ส่วนตัว ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปว่า ในระยะยาวกรมศุลกากรจะมีวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมอย่างไร?
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี