หนึ่งในหัวใจสำคัญของการประสบความสำเร็จมีอิสรภาพทางการเงินในแบบที่ต้องการได้ ก็คือ การมีแผนการ หรือแผนที่ทางการเงินที่ชัดเจน
โดยหลักการทั่วไป คนเราจะมีอิสรภาพทางการเงินได้ ก็ต่อเมื่อ รายได้จากทรัพย์สิน (Passive Income) มากกว่า
รายจ่ายรวม (Total Expense) หรือมีรายได้ที่ไม่ต้องทำงาน มากกว่า รายจ่ายรวม
ด้วยเหตุนี้โจทย์แรกที่เราจะต้องรู้ให้ชัดเจนก่อนก็คือ รายจ่ายต่อเดือนปัจจุบันของเราเป็นเท่าไหร่ เมื่อทราบแล้วก็นำมากำหนดเป็นเป้าหมายทางการเงิน
ในตอนเริ่มต้นวางแผนออกจากสนามแข่งหนู เมื่อ 15 ปีก่อนผมมีรายจ่ายต่อเดือนๆ ละ 30,000 บาท เลยวางเป้าหมายเบื้องต้นไว้ว่า ถ้ามีรายได้จากทรัพย์สินเดือนละ 40,000 บาท ก็น่าจะดี
ทุกเดือนมีเงินพอกินอยู่ใช้จ่าย โดยไม่ต้องทำงานทุกวัน (หรือบางเดือนอาจไม่ได้ทำงานเลย) และยังมีเงินเก็บเงินออมได้อีก 10,000 บาททุกเดือน สำหรับลงทุนเงินให้พอกพูน ต่อยอดความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นไปอีก
สำหรับเครื่องมือที่จะทำให้คนเรามีรายได้จากทรัพย์สินได้นั้น ก็มีมากมายหลายอย่างแล้วแต่ว่าใครจะชอบแบบไหน ถนัดแบบไหน และตั้งใจว่าจะใช้อะไรเป็นเครื่องมือ
1) ตราสารการเงิน (Paper Asset)
คนที่ไม่ค่อยถนัดเรื่องการสร้างกิจการของตัวเอง ไม่ชอบการบริหารจัดการที่ยุ่งยาก ไม่ชอบยุ่งกับคน ก็มักเลือกใช้เครื่องมือกลุ่มตราสารทางการเงิน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้ง พันธบัตร หุ้น และกองทุนรวม เป็นต้น
เครื่องมือกลุ่มนี้สร้างกระแสเงินสด (Cash Flow) จากทรัพย์สินในรูปของ ดอกเบี้ย และเงินปันผล
ข้อดีก็คือ ใช้เงินจำนวนไม่มากก็สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ สภาพคล่องในการลงทุนค่อนข้างดี แต่ก็มีข้อเสียที่ควบคุมการลงทุนของตัวเองแทบไม่ได้เลย (ปัจจัยภายนอกเยอะ) ใช้เงินคนอื่นลงทุนไม่ได้ และต้องลงทุนในจำนวนเงินที่สูงกว่าจะได้กระแสเงินสดในระดับที่ต้องการ เช่น หากต้องการเงินปันผลจากหุ้นเดือนละ 10,000 บาท หรือ 120,000 บาทต่อปี ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยที่ระดับ 3-4% ต่อปีคุณอาจต้องใช้เงินลงทุนถึง 3 ล้านบาท
2.อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate)
หมายถึง การลงทุนในกลุ่มทรัพย์สินให้เช่าทั้งหลาย อาทิ บ้านเช่า คอนโด ตึกแถว หอพัก อพาร์ทเมนท์ ที่ดิน ลานจอดรถ ฯลฯ โดยมุ่งหวังผลตอบแทนในรูปเงินสดจาก ค่าเช่า เป็นหลัก
ข้อดีของการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ก็คือ การใช้เงินคนอื่นมา Leverage เพื่อสร้างผลตอบแทนของเราให้สูงขึ้น กระแสเงินสดที่ได้รับค่อนข้างแน่นอน ไม่หวือหวา การบริหารจัดการไม่ยุ่งยากมากนัก
แต่ก็มีข้อเสีย คือ สภาพคล่องในการลงทุน ที่จะซื้อขายกันทีไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องใช้เวลา และยิ่งหากลงทุนผิดพลาด ก็มีโอกาสที่เสียสภาพคล่องทางการเงินไปได้ด้วย
3.ธุรกิจ (Business)
การสร้าง Passive Income จากธุรกิจ หมายถึงการสร้างธุรกิจขึ้นมา พร้อมกับระบบในการบริหารจัดการ เพื่อให้คนอื่นจัดการงานแทนเราได้ ไม่ต้องทำงานทุกวัน หน้าที่หลักสำคัญของเจ้าของกิจการ ก็คือ การสร้างระบบและคอยติดตามควบคุม
ข้อดีของการสร้างรายได้จากธุรกิจ ก็คือ อัตราสร้างผลตอบแทนที่สูงมาก สร้างกระแสเงินสดได้ทุกวัน บางกิจการสามารถสร้างการลงทุนโดยใช้เงินลงทุนต่ำหรือไม่ใช้เงินตัวเองได้(โดยเฉพาะธุรกิจอินเทอร์เนตในปัจจุบัน) แต่มีข้อเสียก็คือต้องอาศัยทักษะในการบริหารจัดการที่สูง โดยเฉพาะกับคน
4.ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual Property)
หมายถึง สิ่งมีมูลค่าที่เกิดจากความคิดของเรา เช่นงานเขียน งานเพลง ภาพวาด ภาพถ่าย สิ่งประดิษฐ์ ฯลฯ ลักษณะการสร้างรายได้ของทรัพย์สินกลุ่มนี้อาจทำได้ทั้งเจ้าของลงมือสร้างเอง เช่น พิมพ์หนังสือขายงานเขียนตัวเอง หรืออาจใช้ทรัพยากรคนอื่น (Other People’s Resource, OPR) โดยการขายลิขสิทธิ์งานเขียนให้กับสำนักพิมพ์จัดพิมพ์และจัดจำหน่าย เป็นต้น
ในปัจจุบันสังคมความรู้กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นใครที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ก็สามารถสร้างรายได้จากความรู้ตัวเอง โดยจัดทำมันขึ้นมาในรูปแบบลิขสิทธิ์ ก็จะสามารถมีรายได้จากทรัพย์สินได้
ทั้งหมดข้างต้นเป็นเครื่องมือทางการเงินที่สามารถช่วยให้เราเกษียณเร็ว ออกจากสนามแข่งหนู และมีอิสรภาพทางการเงินในแบบของตัวเองได้
ส่วนใครจะหยิบจับมาใช้อย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล ซึ่งในตอนที่ 2 เราจะมาคุยถึงวิธีในการจัดทรัพย์สินเหล่านี้เข้าพอร์ตเกษียณเร็วกันครับ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี