พื้นที่บริเวณชายหาดริมทะเล คนทั่วไปย่อมเข้าใจว่า เป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้าไปนั่งพักผ่อนหย่อนใจริมทะเลได้
แต่สภาพความเป็นจริงชายหาดบริเวณริมทะเลหลายแห่งเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล มีการปิดป้ายบอกว่า เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต
เมื่อไม่นานมานี้ บริเวณชายหาดเลพัง-บางเทา ตำบลเชิงทะเล อำเภอถลาง ในจังหวัดภูเก็ต ได้มีพนักงานโรงแรมแห่งหนึ่งไล่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่นำเสื่อมาปูบนชายหาดนั่งอาบแดดให้ออกจากพื้นที่ชายหาดบริเวณดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นพื้นที่ของโรงแรม ซึ่งสร้างความมึนงงให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก
ปัญหานี้ไม่ควรเกิดขึ้นในเมื่อเป็นพื้นที่ชายหาดติดกับทะเล โดยหลักต้องเป็นพื้นที่ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ประชาชนคนทั่วไปย่อมเข้าพักผ่อนหย่อนใจ ใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ แต่กลับถูกเจ้าของโรงแรม บ้านพักรีสอร์ทริมทะเล อ้างความเป็นเจ้าของ ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต สร้างภาพลักษณ์ ให้เกิดความเสียหายกับการท่องเที่ยว
ตามสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง ชายหาดจะถูกเจ้าของโรงแรมจับจอง และปิดกั้นไว้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ให้ใช้พื้นที่ได้เฉพาะลูกค้าของโรงแรมเท่านั้น หากบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้าของโรงแรมประสงค์จะใช้ชายหาดต้องเสียค่าตอบแทนแก่เจ้าของโรงแรม ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับนักท่องเที่ยว ที่ไม่ทราบว่าชายหาดนั้นมีเจ้าของ และต่อไปในอนาคตหากไม่จัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เป็นไปได้ว่าจะสูญเสียนักท่องเที่ยวไปจำนวนหนึ่ง และสูญเสียพื้นที่สาธารณะไปอย่างถาวร
ต่อมาทางราชการได้ตรวจสอบพื้นที่บริเวณชายหาดที่จังหวัดภูเก็ตดังกล่าว ซึ่งโรงแรมอ้างว่าเป็นเจ้าของ ปรากฏว่าชายหาดอยู่ในเขตโฉนดของโรงแรมตามที่กล่าวอ้างจริง มีหลักเขตปักไปจนถึงจุดที่น้ำทะเลท่วมถึง อย่างไรก็ตาม ต้องมีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งว่า เกิดขึ้นได้อย่างไรกับพื้นที่ชายหาด ที่ไปอยู่รวมกับพื้นที่มีโฉนดของเอกชน ระหว่างข้อมูลของกรมที่ดินกับกรมเจ้าท่า เนื่องจากสองหน่วยงานนี้เกี่ยวข้องกับพื้นที่บริเวณชายหาดโดยตรง
ในทางวิชาการพื้นที่ชายหาด หมายถึง ที่ดินที่น้ำทะเลขึ้นและลง ท่วมถึงจรดแค่แนวพันธุ์พืชและพันธุ์ไม้ของแผ่นดิน ที่ดินบริเวณดังกล่าวจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ให้ประชาชนใช้ร่วมกัน ตามกฎหมายผลของการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน บุคคลใดจะยึดถือครอบครอง หรือยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ เพื่อให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใดๆ ไม่ได้ แม้บุคคลใดจะทำการครอบครองหาประโยชน์บริเวณชายหาดนานเพียงใด ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่จะมีสิทธิหวงห้าม ปิดกั้น หรือกระทำด้วยประการใดๆ เพื่อไม่ให้บุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องได้
กรณีกลับกันหากว่า ชายหาดที่อยู่ในพื้นที่โฉนดของโรงแรม เกิดจากการกัดเซาะทับถมของตะกอน ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงที่มีมรสุม บริเวณชายฝั่งของทะเลเกิดเป็นชายหาดใหม่ที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง ตามกฎหมายที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิ่ง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น เจ้าของโรงแรมย่อมเป็นผู้มีสิทธิในที่งอกบริเวณชายหาด แต่โดยสภาพของชายหาดแล้ว ทำให้คนทั่วไปและนักท่องเที่ยวเข้าใจว่าเป็นที่สาธารณะ และไม่มีใครคิดว่าเป็นที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ หรือเป็นที่ดินของเอกชน
พื้นที่บริเวณชายหาดนั้นจะมีการออกเอกสารสิทธิ เป็นหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง ไว้ตลอดแนวชายหาด เพื่อป้องกันไม่ให้มีการบุกรุกลงไปในทะเล นอกจากนี้ที่ดินหลายๆ ที่ไม่ว่าเป็นบริเวณเกาะ ชายทะเล ภูเขา ยังเป็นที่ถกเถียงและเป็นข้อสงสัยอยู่ว่า ที่ดินนั้นออกโฉนดหรือเอกสารสิทธิมาอย่างไร ทั้งที่พื้นที่นั้นต้องเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับประชาชนใช้ร่วมกัน
สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง ทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่น ตามกฎหมายที่ดิน ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เป็นต้นว่า ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำทางหลวง ทะเลสาบ เป็นต้น
ปัจจุบันที่ดินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินถูกบุกรุก และจับจองทำประโยชน์ หรือมีการออกเอกสารสิทธิโดยไม่ชอบเป็นจำนวนมาก พื้นที่บางแห่งออกสารสิทธิกันมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซื้อขายเปลี่ยนมือกันไปหลายทอด แต่สุดท้ายเมื่อเป็นเอกสารสิทธิที่ออกโดยไม่ชอบมาตั้งแต่ต้น ศาลมีอำนาจที่จะเพิกถอนได้
คดีล่าสุดที่ศาลฎีกามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2561 ให้เพิกถอนเอกสารสิทธิ คือ คดีที่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ฟ้องบริษัทเอกชน ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน และโรงแรมระดับ 5 ดาว ริมชายหาดฉางหลาง ตำบลไม้ฝาด อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง เนื้อที่รวมกว่า 37 ไร่ ให้ออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าคลองไหโล๊ะ ป่าเลนคลองปอ และป่าเลนคลองหละ เนื่องจากพบว่า การออกเอกสารสิทธิประเภท น.ส. 3 ก และโฉนดไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แม้ว่าภาครัฐจะมีนโยบายเอาจริงเอาจังกับผู้ที่บุกรุกพื้นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่กว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จ ได้สร้างความเสียหายไปแล้วมากมาย ต้องเสียงบประมาณในการรื้อถอน การปรับสภาพพื้นที่ให้กลับมาเหมือนเดิม ยิ่งพื้นที่บริเวณชายหาดที่ถูกจับจองจากเจ้าของโรงแรม สมควรจัดระเบียบและมีมาตรการอย่างเด็ดขาด ไม่ให้กระทบกับภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยว ที่ถือเป็นรายได้สำคัญของประเทศ เพราะหากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการใดๆ ชายหาดหลายๆ แห่งจะต้องถูกบุกรุกเอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวอีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ควรถึงเวลาที่ต้องตรวจสอบอย่างจริงจังกับที่ดินมีโฉนดของเอกชน ที่รวมบริเวณชายหาดเข้าไปด้วยว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อเกิดขึ้นแล้วภาครัฐจะมีแนวทางอย่างไรเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยว
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี