เมื่อต้นเดือน 8 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา นายเดวิด กูดอลล์ นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตรเลีย วัย 104 ปี ได้เดินทางไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อเตรียมตัวทำการุณยฆาต เนื่องจากเขาไม่มีความสุขกับบั้นปลายของชีวิต ไม่มีแรงผลักดันที่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ โดยเขาเคยคิดที่จะจบชีวิตตัวเองเมื่อ 20 ปีที่แล้ว มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ได้มาตัดสินใจขั้นเด็ดขาดเมื่อไม่นานมานี้ และต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2561 นายเดวิด กูดอลล์ได้เสียชีวิตลงอย่างสงบตามความปรารถนาของเขา ด้วยความช่วยเหลือจากแพทย์ โดยการฉีดยากดประสาทชนิดหนึ่งเข้าสู่ร่างกาย
เหตุผลที่ นายเดวิด กูดอลล์ ต้องเดินทางไปจบชีวิตที่สวิตเซอร์แลนด์ เนื่องจากกฎหมายของออสเตรเลียมีเพียงบางรัฐเท่านั้นที่อนุญาตให้ทำการุณยฆาตได้เช่น รัฐวิคตอเรีย ที่เพิ่งผ่านกฎหมายการุณยฆาตเมื่อปี พ.ศ. 2560 แต่ต้องเข้าเงื่อนไข คือ มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และอยู่อาศัยในรัฐวิคตอเรียอย่างน้อย 12 เดือนโดยต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์มากกว่าหนึ่งคน ว่า เจ็บป่วยจากโรคต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และมีชีวิตเหลือไม่ถึง 6 เดือน หากอยู่ในอาการป่วยหนักสามารถขอรับยาฉีดเพื่อจบชีวิตได้ ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ครบถ้วนเช่นกัน
กรณีของนายเดวิด กูดอลล์ ไม่เข้าเงื่อนไขกฎหมายของรัฐวิคตอเรีย ที่จะทำการุณยฆาตได้ และอีกประการหนึ่งกฎหมายดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ โดยจะมีผลบังคับใช้ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2562 ทำให้นายเดวิด กูดอลล์ ต้องเดินทางไปจบชีวิตที่สวิตเซอร์แลนด์แทน เนื่องจากกฎหมายของสวิตเซอร์แลนด์อนุญาตให้ทำการุณยฆาตได้ โดยให้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ปรารถนาที่จะจบชีวิตตัวเองโดยไม่มีใครบังคับ และนอกจากนี้ยังมีคลินิกที่เปิดบริการ และให้คำแนะนำเกี่ยวกับการุณยฆาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
โดยเมื่อ พ.ศ.2558 มีนักธุรกิจคนหนึ่งวัย 54 ปี ได้พบว่า ตัวเองมีเซลล์มะเร็งไม่สามารถผ่าตัดรักษาที่กระดูกสันหลัง หากจะรักษาอาจอันตรายเกินไป แต่หากปล่อยให้ลุกลามจนถึงระยะสุดท้าย
จะเป็นภาระกับครอบครัว จึงตัดสินใจเลือกการทำการุณยฆาตกับคลินิกในสวิตเซอร์แลนด์ และเสียชีวิตลงอย่างสงบโดยไม่ต้องทุกข์ทรมาน
ก่อนทำการุณยฆาตนั้นนักธุรกิจวัย 54 ปี คนนั้น ไม่ได้เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และยังไปเที่ยวกับครอบครัว พบปะเพื่อนฝูงและรับประทานอาหารด้วยกันอย่างมีความสุข เช่นเดียวกับนายเดวิด กูดอลล์ ก่อนจะจบชีวิตด้วยการทำการุณยฆาต เขาไม่ได้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงแต่อย่างใด และยังทำงานเป็นนักวิจัยกิตติมศักดิ์ ในวัย 102 ปี ที่มหาวิทยาลัยอิดิธโกแน ในเมืองเพิร์ท ประเทศออสเตรเลีย กระทั่งต่อมาทางมหาวิทยาลัยห้ามเดินทางไปทำงานเนื่องจากเป็นห่วงสุขภาพ
นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้นายเดวิดกูดอลล์ รู้สึกว่าตัวเขาเองไม่มีค่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป ยิ่งเป็นฝรั่งสังคมตะวันตกผู้สูงอายุจะโดดเดี่ยว นายเดวิด กูดอลล์เป็นชาวอังกฤษ แต่ได้อพยพมาอยู่ออสเตรเลียต่างกับชาวเอเชียสังคมตะวันออกที่ผู้สูงอายุเมื่อยามแก่เฒ่าจะมีลูกหลานมาดูแลอย่างใกล้ชิด หรืออาจจะจ้างคนมาดูแลไม่ปล่อยทิ้งไว้คนเดียว ภาครัฐมีกิจกรรมสันทนาการสำหรับผู้สูงอายุในวัยเดียวกัน ให้รวมตัวเพื่อทำกิจกรรมร่วมกันต่างๆ มากมาย ทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าไม่โดดเดี่ยวอยากมีชีวิตไปนานๆ
หลายๆ ประเทศยังไม่ให้การยอมรับการการุณยฆาต เนื่องด้วยอาจติดขัดในด้านศาสนา คุณธรรม จริยธรรมของแพทย์ หรือหากจะให้การยอมรับจะต้องเป็นผู้ป่วยใกล้ตายระยะสุดท้ายที่ทุกข์ทรมานจริงๆ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว การยื้อชีวิตจะยิ่งเพิ่มความทรมานให้กับผู้ป่วยมากกว่าเดิม
สำหรับประเทศไทยมีประกาศสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ. 2553 แต่กรณีนี้ก็ไม่ใช่การการุณยฆาต เพียงแต่เป็นเรื่องของความประสงค์ที่จะตายตามธรรมชาติ ให้แพทย์หยุดการรักษา ไม่ต้องการยืดเวลาการตายออกไปด้วยการใช้ยากระตุ้นอวัยวะ เช่น ยาเพิ่มหรือลดความดัน และร่างกายจะไม่ถูกเหนี่ยวรั้งด้วยเครื่องพันธนาการต่างๆ จากเทคโนโลยีทางการแพทย์
การแสดงเจตนาทำหนังสือตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ใช้เฉพาะผู้ป่วยที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ดี สามารถทำหนังสือแสดงเจตนาได้ด้วยตนเอง แต่ต้องปรึกษาหารือกับแพทย์ พยาบาล ที่มีความเข้าใจในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งต้องแจ้งให้คนในครอบครัวญาติมิตร คนใกล้ชิดรับทราบเรื่องการทำหนังสือดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ในอนาคตข้างหน้าเมื่อวัฒนธรรมของสังคมเปลี่ยนไป หลายๆประเทศอาจจะให้การยอมรับการการุณยฆาตมากขึ้น รวมถึงทำหนังสือแสดงเจตนาการตายบอกญาติ พี่น้อง บอกลูกหลาน เพราะถือเป็นความปรารถนาด้านร่างกายครั้งสุดท้ายของผู้ป่วย และเมื่อเทียบกับการทำพินัยกรรมกำหนดเผื่อตายในเรื่องทรัพย์สิน ซึ่งถือเป็นคำสั่งครั้งสุดท้ายที่ผู้ป่วยสามารถกระทำได้ เพียงแต่ต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในขณะทำพินัยกรรมผู้ป่วยสามารถยกทรัพย์สินตามพินัยกรรมให้กับใครก็ได้ไม่เฉพาะผู้ซึ่งเป็นทายาท ซึ่งไม่น่าจะแตกต่างกันมากนัก ที่อนาคตข้างหน้าการการุณยฆาตจะถูกต้องตามกฎหมายและได้รับยอมกันมากขึ้น
บางครั้งมนุษย์เราอยากมีชีวิตที่ยืนยาว แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ การอยู่มานาน อาจทำให้เบื่อสังคม เบื่อโลก ไม่มีแรงจูงใจที่จะทำให้มีชีวิตอยู่ต่อ ประกอบกับเมื่อยามแก่เฒ่าสภาพร่างกายไม่ดีเหมือนเดิม และไม่มีลูกหลานมาคอยดูแล ต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก ยิ่งบั่นทอนกำลังใจ ทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่มากกว่าเดิม ดังมีคนกล่าวไว้ว่า ผู้สูงอายุเมื่อถึงคราวก็จะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ต้องการคนดูแล คนเอาใจใส่ เอาแต่ใจ หงุดหงิดง่าย
การการุณยฆาตอาจจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดให้กับคนที่หมดหวังในชีวิต และป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่ได้ หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆก็ตาม เพียงแต่ว่าสังคมนั้นจะยอมรับมากแค่ไหน หรือขัดกับจรรยาบรรณของแพทย์หรือไม่มีหน้าที่รักษาผู้ป่วย ไม่ใช่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตเร็วขึ้น ซึ่งทุกอย่างล้วนมีสองด้านเสมอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี