nn ในช่วงนี้เมื่อการลงทุนภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวได้ชัดเจนอย่างที่รัฐบาลตั้งใจ...การลงทุนในภาครัฐโดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจต่างๆ จึงต้องเป็นแรงเครื่องจักรสำคัญต่อไปในการฟื้นภาพรวมการลงทุนของประเทศแต่ด้วยปัจจัยถ่วงหลายด้านที่ทำการลงทุนในรัฐวิสาหกิจบางแห่งต้องสะดุดหยุดลง...หนึ่งในการปัจจัยลบที่ว่าก็คือเรื่องการขาดตัวผู้บริหารสูงสุดที่เหมาะสมที่จะเข้ามาตัดสินใจ....
ในช่วงนี้ถือเป็นช่วงปลาใกล้จะเปลี่ยนน้ำ ที่จะมีการสรรหาผู้นำคนใหม่ของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ เข้ามาบริหารจัดการองค์กรให้เดินหน้าและเป็นที่ยอมรับในสายตานักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ ซึ่งเป็นที่จับจ้องและอยู่ในความสนใจของกระแสสังคม... 2 องค์กร... ที่เปิดให้บุคคลที่มีความสามารถแสดงวิสัยทัศน์...โดยเมื่อวันที่ 5 มิถุนายนที่ผ่านมา...โดยคณะกรรมการสรรหาผู้ว่าการ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้เปิดให้บุคคลที่มีความสามารถ 4 คน แสดงวิสัยทัศน์ ประกอบด้วย นายกฤต ธนิศราพงศ์ นายภักดี มะนะเวศ นางวิภาภรณ์ ชัยรัตน์ และ นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์...ตามกระบวนการ...คณะกรรมการสรรหา จะส่งต่อไปที่บอร์ดการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อพิจารณาอนุมัติก่อนเสนอให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป...
แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า เวลานี้เรื่องยังไม่ได้นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรียังไม่ได้พิจารณาอนุมัติ แต่สื่อต่างๆ กลับมีการประโคมข่าวระบุชื่อให้ นายสุชาติ ชลศักดิ์พิพัฒน์ ซึ่งปัจจุบันเป็นรองผู้ว่าการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ได้ขึ้นตำแหน่งผู้ว่าฯการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เหมือนเป็นการลงข่าวแบบโยนหินถามทางจนเกินงาม...
พิจารณากันถึงเนื้อแท้ และดูถึงความสามารถ บุคคลที่ได้แสดงวิสัยทัศน์อีก 3 คน ก็มีประสบการณ์และมีความสามารถไม่แพ้กัน อย่างเช่น นายภักดี มะนะเวศ เป็นคนหนุ่มไฟแรง มีความรอบรู้หลายด้านทั้งการเงิน การบริหาร กฎหมาย และวิศวกรรมโยธา...การบริหารในยุค 4.0 ต้องใช้คนหนุ่มที่มีประสบการณ์และมีความรู้รอบด้านดั่งมือประสานสิบทิศ.... ส่วนนางวิภาภรณ์ ชัยรัตน์จบการศึกษาด้านบริหาร การบัญชี มีความรู้ความสามารถด้านการเงิน การธนาคารและสาขาพาณิชย์ และนายกฤต ธนิศราพงศ์ ปัจจุบันเป็น ผู้จัดการ บริษัทซีวิคเอนจิเนียริ่ง จำกัด มีความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม ขณะที่ นายสุชาติมีความรู้ด้านวิศวกรรมก่อสร้าง...
เรื่องนี้คณะกรรมการสรรหาต้องใช้ความเป็นกลางลบอคติในใจ มองการณ์ไกล เปิดใจกว้างพร้อมคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถเข้ามาทำหน้าที่นำพาการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ให้เดินหน้าต่อไปได้ จะใช้ความสนิทชิดเชื้อหรือใช้วิธีพวกมากลากไปคงไม่ถูกต้องนัก เรื่องนี้ต้องให้คณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
ข้ามฟากมาที่ฝั่งถนนเพชรบุรี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นอีกหนึ่งรัฐวิสาหกิจที่ต้องจับตา เพราะเป็นองค์กรที่ช่วยสร้างรายได้ให้ประเทศไทยอย่างมหาศาล...ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรรหาคณะกรรมการชุดใหม่...ตำแหน่งที่ต้องจับตามากที่สุดคือประธานกรรมการการท่องเที่ยว วาระของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิคณะปัจจุบันจะครบกำหนด ในวันที่ 25 ตุลาคมนี้...สำหรับตำแหน่งประธานกรรมการนี้มีแคนดิเดท 2 คน คือ นายพุทธพงษ์ ปุณณกันต์ กับนายวุฒิชัย ดวงรัตน์ อดีตรองปลัดกระทรวงพาณิชย์...แต่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจเหตุใด นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ แนวร่วม กปปส.ที่ยังมีคดีติดตัวหลายคดีหลังจากที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง มีชื่อหลุดเข้ามาถึงรอบการเสนอชื่อเป็นประธานกรรมการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้อย่างไร???!!!!!
โดยขั้นตอนขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอให้คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร.พิจารณาตรวจสอบรายละเอียดและความถูกต้องทั้งหมด ก่อนเสนอ นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณา เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป...
ทุกประเทศกำลังจับจ้องมองไทย เรากำลังสร้างความเชื่อมั่น... การสรรหาบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานในองค์กรระดับชาติ ต้องพิจารณาถึงความสามารถ ชื่อเสียง ผลงานคุณสมบัติ เป็นสำคัญ... อย่างเช่น นายวุฒิชัย ดวงรัตน์ อดีตรองปลัดกระทรวงพาณิชย์และเคยเป็น คณะกรรมการ ททท. การศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงเอก จบเศรษฐศาสตร์ที่ฝรั่งเศส ตลอดอายุราชการไม่มีประวัติเสียหาย...เข้ามาเป็นบอร์ด ททท. 3 ปี ก่อนที่จะเกษียณ...เทียบกับนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ที่ขึ้นชื่อเป็น 1 ในแนวร่วม กปปส.ที่วันนี้ โดนคดีเยอะมาก และคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาในชั้นศาล... ผลงานมีอะไรโดดเด่น(ยังนึกไม่ออก) ...หากว่าได้เข้ามาคงไม่อาจปฏิเสธข้อสงสัยของสังคม เรื่องจะมีการเมืองเข้ามาแทรกแซงหรือไม่..???
ทั้ง 2 องค์กรนี้ ทั้ง การทางพิเศษแห่งประเทศไทยและการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย...ถือเป็นรัฐวิสาหกิจเกรดA...ถ้าปล่อยให้เกิดข้อกังขาของสังคม... แน่นอนรัฐวิสาหกิจแห่งอื่นก็ต้องมีคำถามจากสังคมเช่นเดียวกัน...จำไม่ผิดทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแบบพิเศษ..หนึ่งในเหตุผลนั้นคือ ความไม่โปร่งใสในรัฐวิสาหกิจ..และรัฐบาลคสช.เองก็เคยที่ประกาศว่า....การบริหารงานประเทศและทุกหน่วยงานของรัฐ...จะต้องทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุค 4.0 ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เพื่อสร้างความมั่นใจในสายตานักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างชาติเป็นสำคัญ...ประเทศชาติจะเดินหน้าต่อไปได้ต้องสลัดความคิดแบบเก่ายุคเต่าล้านปี.... หยุดการใช้วิธีแบบเดิมที่เน้นพวกมากลากไป ต้องเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง!!....!!หวังว่า...รัฐบาล และ คสช. คงยังไม่มีลืม...nn
กระบองเพชร
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี