กรณีการจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับกรณีการทุจริตในเงินทอนวัด และถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา เป็นข่าวใหญ่ดังในหน้าหนึ่งของสื่อต่างๆ ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ในเรื่องของวิธีการเข้าจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่ และการบังคับให้สละสมณเพศ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีพระสงฆ์ ได้แก่ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 29 และมาตรา 30
มาตรา 29 บัญญัติว่า พระภิกษุรูปใดถูกจับโดยต้องหาว่ากระทำความผิดอาญา เมื่อพนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการไม่เห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราว และเจ้าอาวาสแห่งวัดที่พระภิกษุรูปนั้นสังกัดไม่รับมอบตัวไว้ควบคุม หรือพนักงานสอบสวนไม่เห็นสมควรให้เจ้าอาวาสรับตัวไปควบคุม หรือพระภิกษุรูปนั้นมิได้สังกัดในวัดใดวัดหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจัดดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้น “สละสมณเพศ” เสียได้
มาตรา 30 เมื่อจะต้องจำคุก กักขังหรือขังพระภิกษุรูปใดตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาล มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้น “สละสมณเพศเสีย” ได้
เมื่อพิจารณาถึงข้อกำหนดและข้อความในมาตรา 29 และมาตรา 30 ดังกล่าว จะเห็นว่า ทั้งสองมาตรานี้ ไม่ได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน เมื่อดำเนินคดีคณะสงฆ์แล้ว แต่จะต้องจับพระสงฆ์สึก
มีแต่ข้อความที่บัญญัติไว้แต่เพียงว่า ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินการให้พระภิกษุนั้น สละสมณเพศเสียได้
แสดงว่า กฎหมายดังกล่าว ให้อำนาจเจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศเท่านั้น ซึ่งคำว่า มีอำนาจไม่ได้หมายความว่า จะต้องกระทำ จึงเป็นเพียงดุลพินิจของ
เจ้าพนักงานที่ใช้อำนาจนั้นหรือไม่ และไม่ได้หมายความว่า ต้องให้พระภิกษุสงฆ์ที่ถูกดำเนินคดี สละสมณเพศ ในทุกกรณี เพียงแต่เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง อาจไม่กล้าหรือไม่สะดวกใจ
ที่ควบคุมพระภิกษุสงฆ์ในห้องควบคุม หรือห้องขังในขณะที่ยังครองผ้าเหลือง
การจัดดำเนินการให้พระภิกษุที่ต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาสละสมณเพศข้างต้น เป็นไปตามที่ระเบียบและกฎหมายบ้านเมืองกำหนดไว้ ซึ่งเป็นคนละกรณีกันกับการบอกคืนสิกขาบท หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า การสึกพระ ที่ปรากฏอยู่ในพระพุทธศาสนา
การบอกลาสิกขาบท หรือการสึกของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา สามารถกระทำได้หลายวิธี แต่วิธีการที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน จะใช้วิธีการกล่าวกำหนดภาวะด้วยคำเป็นปัจจุบัน คือ“สิกขัง ปัจจักขามิ ข้าพเจ้าลาสิกขา คิหีติ มังธาเรถะ ขอท่านทั้งหลายจงจำข้าพเจ้าไว้ว่า เป็นคฤหัสถ์แล้ว” ซึ่งเป็นการบอกกล่าวแสดงเจตนาโดยพระภิกษุรูปนั้นเอง ไม่มีการบังคับ เรื่องนี้ มีปรากฏ
อยู่ในพระไตรปิฎก
การขาดจากความเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาจึงต้องด้วยกรณีเช่นนี้ เว้นแต่กรณีพระภิกษุนั้น ต้องอาบัติปาราชิก จะขาดจากความเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยทันที
การกล่าวหาว่าพระภิกษุรูปใดกระทำความผิดอาญา และมีการบังคับให้พระภิกษุรูปนั้นสละสมณเพศ (จับสึก) ถ้าพระภิกษุรูปนั้นไม่ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา และไม่ยอมเปล่งวาจาบอกคืนสิกขาบท ตามนัยดังกล่าวข้างต้น แม้จะมีการบังคับให้พระภิกษุรูปนั้นถอดจีวร และเปลี่ยนชุดขาวให้ พระภิกษุรูปนั้นยังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ
พระภิกษุที่ปฏิบัติตรงตามพระธรรมและวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ จะไม่มีโอกาสเป็นความผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองได้เลย
ในอดีตเคยมีพระภิกษุที่ถูกกลั่นแกล้งและกล่าวหาว่า กระทำผิดพระวินัยและกระทำความผิดอาญาและถูกบังคับให้สละสมณเพศ มาแล้วยกตัวอย่าง เช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ อาสโภ)เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระพิมลธรรมนั้น ท่านได้ถูกทางคณะสงฆ์กล่าวหาว่า เสพเมถุนทางเวจมรรคกับลูกศิษย์ ซึ่งเป็นอาบัติสูงสุดในพระพุทธศาสนาถึงขั้นขาดจากความเป็นพระภิกษุ และถูกสมเด็จพระสังฆราชในสมัยนั้นปลดออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส แต่เนื่องจากพระพิมลธรรมไม่ได้กระผิดตามข้อกล่าวหา จึงไม่ยอมออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส และขอต่อสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน เมื่อไม่ยอมออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาส คณะสังฆมนตรีจึงลงมติให้ออกจากสมณศักดิ์ฐานฝ่าฝืนพระบัญชาของสมเด็จพระสังฆราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้ถอดออกจากสมณศักดิ์ตั้งแต่วันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2503
นอกจากนั้น พระพิมลธรรม ยังถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ และถูกบังคับสึกเป็นฆราวาส และถูกจำคุกที่กองบังคับการตำรวจสันติบาลอยู่หลายปี จนกระทั่งศาลทหารสามารถพิสูจน์ว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวเป็นความเท็จ และตัดสินยกฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2509 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้พระพิมลธรรมคืนสู่สมณศักดิ์เดิมตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2518
นอกจากนี้ยังมีกรณีของหลวงตาประจักร ธัมมปทีโป เมื่อครั้งที่ท่านบวชและมีฉายาทางธรรมว่า “คุตตจิตโต” ท่านถูกกลั่นแกล้งจากกลุ่มของข้าราชการและนายทุนที่บุกรุกทำลายป่า เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ ต้นยูคาลิปตัส และตัดต้นไม้ใหญ่ไปขาย ที่ประสงค์ขับไล่ท่านและชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติธรรมเขาหัวผุด อำเภอปะคำ จังหวัดบุรีรัมย์ อันเป็นส่วนหนึ่งของป่าสงวนดงใหญ่ มีอาณาเขตพื้นที่กว่า 6 แสนไร่ และเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำมูล ให้ออกจากพื้นที่ เมื่อท่านและชาวบ้านไม่ยินยอม ท่านถูกแจ้งจับในข้อหาบุกรุกป่าสงวน เพื่อบังคับให้ท่านสึก แต่ท่านไม่สึก แม้จะถูกควบคุมตัวในห้องขัง
หลังจากนั้นท่านจึงถูกทางการดำเนินคดีอีก 7 คดี ถูกบีบบังคับจนต้องออกจากพื้นที่ ท่านได้บอกคืนสิกขาบทเอง โดยไม่มีผู้ใดบังคับ ที่บ้านเกิดของท่าน เมื่อปี พ.ศ.2537 ในระหว่างถูกดำเนินคดีท่านต้องขึ้นศาลราว 50-60 ครั้ง บางคดี ยกฟ้อง, ถูกปรับและรอการลงโทษ ปัจจุบันพ้นมลทินหมดทุกคดีแล้ว หลังจากนั้นท่านจึงได้กลับมาบวชเป็นพระภิกษุอีกครั้งหนึ่ง ได้ฉายาทางธรรมว่า “ธัมมปทีโป”
ทั้งสองกรณีนี้ ชี้ให้เห็นว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้นอกจากพระภิกษุรูปนั้นจะละเมิดอาบัติตามพระวินัยร้ายแรงจนต้องขาดจากความเป็นพระภิกษุแล้ว หากยังไม่บอกคืนสิขาบทเองแล้ว แม้จะมีการบังคับให้ถอดจีวรเป็นนุ่งห่มผ้าขาวแทน เป็นเพียงการบังคับให้เปลี่ยนเครื่องนุ่งห่มมีผลให้เป็นการสละสมณเพศโดยสมมุติเท่านั้น หาได้เป็นการสละสมณเพศดังบัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนาไม่
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี