เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2561 กรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการบังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลด้วยการประหารชีวิต นักโทษเด็ดขาดชายรายหนึ่ง อายุ 26 ปี โดยใช้วิธีการฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย นับเป็นผู้ต้องขังรายที่ 7 นับแต่มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 16) พ.ศ.2546 ซึ่งเปลี่ยนวิธีการบังคับโทษประหารชีวิตจากการยิงเสียให้ตาย เป็นการฉีดสารพิษกฎหมายมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ.2546
ขั้นตอนการประหารชีวิตด้วยวิธีฉีดสารพิษ เริ่มจากใช้เข็มขัดรัดร่างกายนักโทษ 5 จุด คือ หน้าผาก หน้าอก หน้าท้อง หน้าขา และข้อเท้า จากนั้นจึงเริ่มฉีดสารเคมี 3 ชนิด เข้าสู่ร่างกาย ที่ประกอบไปด้วย (1)โซเดียม เพนโทธาล ปริมาณ 15-20 มิลลิลิตร จะมีผลทำให้นักโทษหมดสติ (2) แพนคิวโรเนียม โบรไมด์ ปริมาณ 50 มิลลิลิตร จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ทำให้ปอด และกระบังลมหยุดทำงาน และ (3) โพแทสเซียม คลอไรด์ ปริมาณ 50 มิลลิลิตร ที่ทำให้หัวใจหยุดเต้น
เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 นักโทษเด็ดขาดชายรายนี้ ได้ก่อเหตุฆ่านายดนุเดช สุขมาก อายุ 17 ปี อย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์คือ โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ โดยได้ใช้มีดแทงผู้ตาย รวม 24 แผล ศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิต ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาพิพากษายืนเป็นผลให้คดีถึงที่สุด
ข่าวการประหารชีวิตครั้งนี้ ถือเป็นข่าวใหญ่ มีการนำเสนอในทุกๆ สื่อ เพราะแม้โทษประหารชีวิต จะยังคงมีอยู่ในบทบัญญัติของกฎหมายไทย แต่การบังคับใช้จริงๆ ไม่มีมานานแล้ว โดยก่อนหน้านี้มีในปีพ.ศ.2552 เว้นว่างมานานถึง 9 ปี
ตามมาตรฐานของสหประชาชาติและกรรมการสิทธิมนุษยชนโลกถือว่า ในประเทศที่มีโทษประหารชีวิตแต่ไม่มีการบังคับประหารนักโทษเป็นระยะเวลา 10 ปี ให้ถือว่าไม่มีโทษประหารชีวิต และที่ประชุมกรรมการสิทธิมนุษยชนที่กรุงเจนีวา ได้เคยขอให้ไทยยกเลิกการประหารชีวิต
ย้อนไปในอดีต ก่อนปีพ.ศ.2478 การประหารชีวิตในประเทศไทย ใช้ดาบตัดคอให้ขาด โดยมีเพชฌฆาต 2 คน เพชฌฆาตคนแรก จะรำดาบให้นักโทษดูเพื่อเบนความสนใจ จนนักโทษเผลอ เพชฌฆาตคนที่สองจะฟันคอ โดยไม่ให้นักโทษรู้ตัว ถ้าเพชฌฆาตฟันคอนักโทษไม่ขาด เพชฌฆาตอีกคนจะฟันคอให้ขาด
นับจากปีพ.ศ. 2478 การประหารชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา คือ การเอาไปยิงเสียให้ตาย หรือการยิงเป้าด้วยปืนเยอรมัน รุ่นเอชเค พีเอ็ม-5 หัวกระสุนขนาด 9 มม. นักโทษที่ถูกยิงเป้าจนถึงปี พ.ศ.2544 มีทั้งสิ้น 319 ราย
ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เรืองอำนาจ ช่วง พ.ศ. 2502-พ.ศ. 2506 ได้ใช้อำนาจมาตรา 17 ตามธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.2502 ประหารชีวิตบุคคลที่กระทำความผิดร้ายแรง เช่น ค้ายาเสพติด วางเพลิง โดยไม่ได้นำคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
การประหารชีวิตได้กระทำขึ้นที่ท้องสนามหลวง มีการถ่ายทอดโทรทัศน์ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่นักวิชาการวิจารณ์ว่า กลับเป็นผลเสียมากกว่า เพราะคนจะเกิดความชาชิน และไม่เกรงกลัวจะรับโทษ เนื่องจากเชื่อว่า อย่างมากแค่ตายไม่ทรมาน
หลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตนักโทษ พ.ศ.2546 ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีการฉีดยา หรือสารพิษให้ตาย เริ่มครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ.2546 จนถึงเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2552 มีทั้งสิ้น 6 ราย
ปัจจุบันกฎหมายไทย ฐานความผิดที่มีบทลงโทษประหารชีวิต เช่น การก่อการร้าย ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง การข่มขืนกระทำชำเราจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย การวางเพลิงเผาทรัพย์ การชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย รวมถึงคดีเกี่ยวกับยาเสพติด
การประหารชีวิตนักโทษของไทยในรอบ 9 ปี จึงนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ว่า สมควรมีโทษประหารชีวิตหรือไม่ การประหารชีวิตครั้งนี้ จึงมีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่เห็นด้วยคิดว่า โทษประหารยังมีความจำเป็นอยู่ เพื่อควบคุมสังคมให้อยู่ในระเบียบเรียบร้อย คนจะรู้สึกกลัวไม่กล้ากระทำผิด คดีที่เหยื่อถูกทำร้ายอย่างสาหัส หรือที่ได้รับความทุกข์ทรมาน ญาติพี่น้อง หรือผู้คนในสังคมต่างอยากให้ตายตกไปตามกัน นั่นคือ การประหารชีวิต
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการประหาร เพราะเชื่อว่า การประหารชีวิตไม่สามารถลดปัญหาอาชญากรรมได้ และเชื่อว่า ผู้กระทำผิดสามารถกลับตัว และกลับใจมาเป็นคนดีของสังคมได้ ถ้าสังคมเปิดโอกาส
นักกิจกรรมแอมเนสตี้ประเทศไทย ได้แสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับโทษประหารชีวิตทุกกรณี โดยไม่มีข้อยกเว้นไม่ว่าจะเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด ไม่ว่าผู้กระทำผิดจะมีบุคลิกลักษณะใด เพราะมองว่า โทษประหารชีวิตเป็นการละเมิดสิทธิที่จะมีชีวิตตามที่ประกาศไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน การประหารชีวิตจึงเป็นการละเมิดสิทธิพื้นฐานของความเป็นมนุษย์อย่างรุนแรง
แอมเนสตี้ หรือที่เรียกว่า แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล “Amnesty-Amnesty International” คือกลุ่มคนธรรมดาๆ ทั่วโลกมากกว่า 7 ล้านคน ที่รวมตัวกันเพื่อรณรงค์ ปกป้อง และส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เราเรียกร้องความยุติธรรมให้กับคนที่ถูกละเมิดสิทธิ ร่วมมือกับรัฐเพื่อผลักดันกฎหมาย และนโยบายที่คุ้มครอง ไปจนถึงสร้างความเข้าใจด้านสิทธิมนุษยชนให้กับเยาวชนและคนในสังคม
ปัจจุบันมี 106 ประเทศ ที่ได้ยกเลิกโทษประหาร สำหรับความผิดทุกประเภท และมากกว่า 2 ใน 3 ของประเทศทั่วโลก หรือ 142 ประเทศ ที่ได้ยกเลิกโทษประหารชีวิต ทั้งในทางกฎหมาย หรือในทางปฏิบัติ ประเทศที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่มี 56 ประเทศ
คนไทยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ยังต้องการให้มีโทษประหารชีวิต เพราะเชื่อว่าสามารถลดปัญหาอาชญากรรมได้
การที่ประเทศใดประเทศหนึ่งจะยังคงมีโทษประหารหรือไม่ หรือกำลังจะยกเลิกโทษประหาร ต้องพิจารณาถึงปัจจัยในประเทศหลายๆ อย่าง ทุกประเทศในโลกล้วนมีความแตกต่างกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม การศึกษา เศรษฐกิจ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี