ในบรรดามะเร็งนรีเวชทั่วโลก มะเร็งรังไข่ถือเป็นมะเร็งที่ทำให้ผู้หญิงเสียชีวิตในอันดับต้นๆ และถือเป็นภัยเงียบ ผู้หญิงควรใส่ใจตรวจภายในทุกปี ถ้าตรวจพบในระยะเริ่มแรกมีโอกาสหายถึงร้อยละ 90 มะเร็งรังไข่พบมากในผู้หญิงช่วงอายุ 40-60 ปี
มะเร็งรังไข่มีอาการ เช่น อึดอัดในช่องท้องอาหารไม่ย่อย ท้องอืดท้องเฟ้อ หรือปวดท้องท้องเสีย ท้องผูกรู้สึกอิ่มจนอึดอัด ถึงแม้รับประทานอาหารอ่อนๆ คลื่นไส้ ปัสสาวะบ่อย เบื่ออาหาร น้ำหนักขึ้นหรือลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
สาเหตุของการเป็นมะเร็งรังไข่ เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุมดลูก และ/หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่ การมีประจำเดือนครั้งแรกก่อนอายุ 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้า การคลอดบุตรคนแรกหลังจากอายุ 30 ปี การใช้ยากระตุ้นการตกไข่เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตั้งครรภ์
สภาพแวดล้อมอาจทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ได้ เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบโรคนี้ในประเทศอุตสาหกรรมมากกว่าประเทศเกษตรกรรม มีการศึกษาพบว่า การใช้แป้งบริเวณอวัยวะเพศเป็นเวลานานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่ เพราะแป้งบางยี่ห้อมีสารปนเปื้อน
แป้งเป็นสาเหตุของมะเร็งรังไข่ จริงหรือ?
ทัลคัม(Talcum) หรือทัลค์ เป็นแร่ธาตุตามธรรมชาติที่มีความอ่อนนุ่ม มีเนื้อละเอียดเหมือนเส้นไย ทัลค์ จึงนิยมมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในผลิตภัณฑ์แป้งฝุ่นโรยตัว เหตุที่จะทำให้เป็นมะเร็ง เพราะเชื่อว่ามีการปนเปื้อนของแร่ใยหิน ทัลค์จัดเป็นสารอนินทรีย์ จึงไม่ถูกย่อยสลายตามธรรมชาติ นอกจากนี้ การโรยแป้งฝุ่นในปริมาณมาก ผงแป้งจะลอยฟุ้งกระจายในอากาศ หากสูดดมเข้าไปเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมเป็นก้อนในปอดทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจได้
เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2561 ศาลรัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้มีคำสั่งให้บริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน จ่ายเงินชดเชย 550 ล้านดอลลาร์ และค่าเสียหายเชิงลงโทษ 4,100 ล้านดอลลาร์ รวมเป็นเงิน 4,650 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.54 แสนล้านบาท ให้แก่ผู้หญิง 22 คน ที่ยื่นฟ้องบริษัทจอห์นสันฯ ที่ในแป้งมีสารทัลค์ ทำให้พวกเธอเป็นมะเร็งรังไข่ โดยไม่ได้มีการแจ้งเตือนผู้บริโภค ถึงความเสี่ยงโรคมะเร็งรังไข่ ที่ได้ใช้แป้งเพื่อดูแลสุขอนามัยของผู้หญิง เพราะหลายคนนิยมใช้แป้งทาบนกางเกงใน
เดือนเมษายน พ.ศ.2561 ศาลรัฐนิวเจอร์ซี่ย์ได้มีคำสั่งให้บริษัทจอห์นสันฯ จ่ายเงินชดเชย ให้แก่สามีภรรยาคู่หนึ่งจำนวน 37 ล้านดอลลาร์ และค่าเสียหายเชิงลงโทษ 80 ล้านดอลลาร์ รวมเป็นเงิน 117 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,154 ล้านบาท หลังจากที่ฝ่ายชายเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งปอด และฝ่ายหญิงเป็นมะเร็งรังไข่
เดือนสิงหาคม พ.ศ.2560 ศาลรัฐแคลิฟอร์เนียได้มีคำสั่งให้บริษัทจอห์นสันฯ จ่ายเงินชดเชย 70 ล้านดอลลาร์ และค่าเสียหายเชิงลงโทษ 437 ล้านดอลลาร์ รวมเป็นเงิน 417 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 13,000 ล้านบาท แก่นางเอวา เอเชเวอร์เรีย วัย 63 ปี เธอใช้แป้งมาตั้งแต่อายุ 11 ปี แต่มะเร็งรังไข่เคร่าชีวิตเธอก่อนที่จะได้รับเงินจำนวนนี้
จนถึงปีพ.ศ. 2561 บริษัทจอห์นสันฯ ถูกฟ้องร้องไม่ต่ำกว่า 6,610 คดีทั่วประเทศสหรัฐฯ โดยโจทก์ส่วนใหญ่ให้เหตุผลเดียวกันว่า ไม่ได้มีการเตือนผู้บริโภคหญิงถึงความเสี่ยงโรคมะเร็งรังไข่
ค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) หมายถึง ค่าเสียหายที่กำหนดขึ้นเพื่อลงโทษจำเลย บางครั้งเรียกว่า “ค่าเสียหายเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง (Exemplary Damages)” “ค่าเสียหายที่เป็นการแก้เผ็ด (Vindictive Damages)” “ค่าเสียหายที่เป็นการตอบแทนการแก้แค้น (Retribution Damages)” ไม่ว่าจะมีชื่อเรียกอย่างไร แต่มีลักษณะเป็นค่าเสียหายที่กำหนดเพิ่มให้มากขึ้นนอกเหนือจากค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง (Actual Damages) ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจริง เช่น ความเสียหายที่เกิดจากการผิดสัญญา ค่ารักษาพยาบาล
ค่าเสียหายเชิงลงโทษ เป็นค่าเสียหายที่กำหนดเป็นตัวเลขที่สูงมาก เพราะต้องการลงโทษผู้ประกอบการให้เข็ดหลาบ เพื่อให้เกิดความใส่ใจ และพัฒนาภาพของสินค้าเพื่อป้องปราม ไม่ให้ผู้ประกอบการอื่นทำพฤติกรรมแบบเดียวกัน อันเป็นการป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคต ค่าเสียหายเชิงลงโทษยังกระตุ้นให้ผู้เสียหายออกมาใช้สิทธิทางศาลปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคที่พึงมี
โจทก์ไม่ต้องพิสูจน์ค่าเสียหายเชิงลงโทษ ศาลมีหน้าที่พิจารณากำหนดตามความเหมาะสม โดยคำนึงถึงลักษณะความร้ายแรงแห่งละเมิด สภาพและปริมาณความเสียหายที่โจทก์ได้รับ รวมถึงฐานะทางเศรษฐกิจของจำเลยหรือผู้ประกอบการนั่นเอง
กฎหมายไทยพิเศษบางฉบับมีการกำหนดค่าเสียหายเชิงลงโทษไว้เช่นกัน เช่น พ.ร.บ.ความลับทางการค้าพ.ศ.2545 พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 พ.ร.บ. ความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551 แต่ค่าเสียหายเชิงลงโทษตามกฎหมายไทย กำหนดไว้ว่าให้ศาลตัดสินไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายที่แท้จริง ซึ่งต่างจากสหรัฐอเมริกา
นอกจากนี้ ตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 หากผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งถูกฟ้องเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ถ้านิติบุคคลนั้น ถูกจัดตั้งขึ้นหรือดำเนินการ โดยไม่สุจริต หรือมีพฤติการณ์ฉ้อฉลหลอกลวงผู้บริโภค หรือมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินของนิติบุคคลไปเป็นประโยชน์ของบุคคลอื่น ทำให้ทรัพย์สินมีไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ตามฟ้อง หากศาลเห็นสมควร ศาลมีอำนาจเรียกหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้นหรือบุคคลที่มีอำนาจควบคุมการดำเนินงานของนิติบุคคล หรือผู้รับมอบทรัพย์สินจากนิติบุคคลดังกล่าวเข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ และให้มีอำนาจพิพากษาให้บุคคลเช่นว่านั้น ร่วมรับผิดชอบในหนี้ที่นิติบุคคลมีต่อผู้บริโภคได้
นับว่าเป็นเรื่องดีที่ปัจจุบันกฎหมายเกี่ยวกับผู้บริโภค มีบทลงโทษผู้ประกอบการต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ย่อมเป็นการดีหากผู้ประกอบการต่างๆ ผลิตสินค้าและบริการ โดยคำนึงถึงมาตรฐานคุณภาพและมีความเป็นธรรมด้านราคาเป็นสำคัญ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี