การศึกษานั้นเป็นรากฐานที่สำคัญประการหนึ่งของชีวิต รัฐบาลที่ผ่านมา จึงมีนโยบายให้เรียนฟรี เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม
นโยบายให้เรียนฟรีอาจทำได้เพียงเท่าที่เหมาะสมและจำเป็น คือในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ผู้ที่ประสงค์จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา หากไม่มีเงินเรียนต่อ ในอดีตอาจต้องหางานทำส่งตัวเองเรียน ขอทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัย หรือในต่างประเทศอาจกู้ยืมเงินจากมหาวิทยาลัยเพื่อใช้เป็นค่าเล่าเรียนก่อนได้ โดยใช้คืนเมื่อเรียนจบทำงานที่เรียกกันว่า Student Loan ในปัจจุบันผู้ที่ประสงค์จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา สามารถกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาหรือ กยศ. ได้
การกู้ยืมเงินจาก กยศ. ต้องมีผู้ค้ำประกัน ซึ่งอาจเป็นบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลอื่นที่ประกอบอาชีพ มีรายได้น่าเชื่อถือ บางครั้งเป็นข้าราชการ ครูอาจารย์ของผู้กู้เอง ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำกันแพร่หลาย หากครอบครัวของผู้กู้ไม่มีรายได้ หรือหลักประกันเพียงพอ
แต่กรณีที่เกิดขึ้นและได้รับการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมคือ ครูผู้หญิงท่านหนึ่งได้ค้ำประกันลูกศิษย์จำนวน 60 คน กับทาง กยศ. และมีลูกศิษย์จำนวนหนึ่งไม่ยอมชำระหนี้ ทำให้ กยศ. ต้องดำเนินคดีและจะยึดทรัพย์ ยึดบ้านของครูท่านนั้น ครูได้ปฏิเสธที่จะฟ้องร้องไล่เบี้ยเอาเงินจากลูกศิษย์ดังกล่าวด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู แม้ว่ามีสิทธิจะทำได้ตามกฎหมาย
กรณีนี้ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงขั้นตอนการดำเนินคดีของ กยศ. และความรับผิดชอบของลูกศิษย์ที่หลายคนมีรถ มีบ้าน ทรัพย์สิน แต่กลับไม่ชำระหนี้ ปล่อยให้ครูผู้ค้ำประกันถูกดำเนินคดี ยึดทรัพย์
กรณีดังกล่าวคล้ายคลึงกับกรณีที่ทันตแพทย์คนหนึ่งได้รับทุนรัฐบาล ไปศึกษาต่อต่างประเทศ เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วไม่ยอมกลับมาทำงานใช้ทุน ทำให้ผู้ค้ำประกันหลายคนถูกฟ้องร้อง บางคนเป็นอาจารย์ของผู้รับทุนนั้น บางคนไม่ได้รู้จักผู้รับทุนเลย แต่เมื่อมีผู้ขอให้ช่วย ค้ำประกันผู้รับทุน จึงช่วยค้ำประกันให้เพราะเห็นว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ผู้รับทุนจะกลับมาทำงานให้กับส่วนรวม รับใช้ประเทศชาติ แต่กลับถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ต้องรับผิดชอบเงินหลายล้านบาท เพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่อาจดำเนินคดียึดอายัดทรัพย์สินของผู้รับทุนที่อยู่ในต่างประเทศได้ แม้ผู้รับทุนจะมีความเป็นอยู่ในต่างประเทศที่ดีมาก จัดว่าร่ำรวย มีรายได้ดี
เมื่อเรื่องของคุณครูท่านนั้นปรากฏตามสื่อต่างๆ มีผู้เห็นใจเป็นจำนวนมาก จนประชาชนที่บ้านฉางได้รวบรวมเงินกันส่งมอบให้กับคุณครูท่านดังกล่าว เพื่อช่วยใช้หนี้เป็นเงินกว่าสี่แสนบาท แม้จะไม่อาจช่วยชำระหนี้ได้ทั้งหมด แต่เป็นการผ่อนหนักเป็นเบาและให้กำลังใจ
กรณีนี้มีข้อสังเกตว่า หน่วยงานที่ให้กู้ยืม มักจะเน้นการดำเนินคดีกับผู้ค้ำประกันมากกว่าผู้กู้หรือผู้รับทุน เพราะการดำเนินคดีและยึดทรัพย์กับผู้ค้ำประกันนั้นง่ายกว่า สะดวกกว่าการบังคับคดีกับผู้กู้หรือผู้รับทุน
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ค้ำประกันมักจะมีทรัพย์สิน ฐานะการเงิน รายได้ ดีกว่า มั่นคงกว่าผู้กู้หรือผู้รับทุน ซึ่งมักอยู่ระหว่างการศึกษา ไม่ได้ทำงานมีรายได้อะไร และครอบครัวอาจจะมีฐานะหรือทรัพย์สินไม่พอที่จะค้ำประกันในการศึกษาต่อ ในหลายๆ กรณี ผู้ค้ำประกันมักจะมีตำแหน่ง มีหน้าที่การงานที่ดี จึงไม่หลบหนี ต่างจากผู้กู้หรือผู้รับทุนที่หนีหนี้ หรือหนีการชดใช้ทุนได้ง่ายกว่า ไม่มีทรัพย์สินให้ยึดบังคับคดี ไม่มีหน้าที่การงาน หรือที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน
กยศ. ชี้แจงว่า ได้ติดตามทวงหนี้กับลูกหนี้ และดำเนินคดีตามขั้นตอนต่างๆ แบบที่สถาบันการเงินทำกับลูกหนี้ มีการส่งจดหมายไปยังที่อยู่ที่ทราบ ติดตามทางโทรศัพท์ กับลูกหนี้ด้วย แต่ไม่ได้รับชำระหนี้คืนแต่อย่างใด จึงต้องดำเนินคดียึดทรัพย์ผู้ค้ำประกัน
มีข้อสังเกตว่า กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับการค้ำประกันไม่ได้บังคับเจ้าหนี้ให้ดำเนินคดีกับผู้ค้ำประกัน หรือดำเนินคดีกับผู้ค้ำประกันก่อน หน่วยงานต่างๆ จึงสามารถเลือกที่จะดำเนินคดีกับลูกหนี้ ผู้กู้ ผู้รับทุนก่อนได้ เมื่อไม่ได้รับชำระหนี้จริงๆแล้ว จึงค่อยดำเนินคดีกับผู้ค้ำประกันในภายหลัง ซึ่งจะเป็นคุณกับผู้ค้ำประกัน ที่มักเป็นผู้ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องไม่มีส่วนได้เสียในการศึกษาต่อของผู้กู้ ผู้รับทุน โดยตรง แต่ค้ำประกันให้เพราะจิตใจที่ดี มีเมตตา
ดังนั้น จึงควรแก้ไขปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้ค้ำประกันต้องเป็นบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลในครอบครัวของผู้กู้ ผู้รับทุนเท่านั้น ไม่ควรให้บุคคลภายนอกมาเป็นผู้ค้ำประกัน ผู้กู้ ผู้รับทุนจึงไม่สนใจที่จะชำระหนี้ เพราะตนและบุคคลในครอบครัวไม่เดือดร้อน หากตนบิดพลิ้วไม่ชำระหนี้ เหมือนกับมีผู้อื่นมาช่วยชำระหนี้ให้แทน
มีผู้เสนอให้แก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องว่า หากผู้ค้ำประกันเป็นครูอาจารย์ผู้ค้ำประกันศิษย์ ควรที่จะให้ครูอาจารย์แต่ละท่านค้ำประกันศิษย์ได้ท่านละไม่เกิน 5 คนเท่านั้น ไม่ใช่ค้ำประกันได้หลายสิบคน ไม่จำกัดจำนวนศิษย์ดังเช่นกฎระเบียบในปัจจุบัน ซึ่งอาจจะเป็นการเกินกำลัง หรือความรับผิดของครูอาจารย์แต่ละท่าน
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ควรที่จะเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจให้ผู้กู้ ผู้รับทุนเข้าใจในหลักการ เหตุผลของการกู้ยืม หรือการให้ทุน เพราะบางกรณีผู้กู้บอกว่า ไม่ทราบว่าต้องใช้เงินกู้ยืมคืน เข้าใจว่าเป็นการให้เปล่า ไม่ต้องชดใช้ ไม่มีข้อผูกพันใดๆ ซึ่งไม่แน่ว่า จะเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อน หรือจงใจบิดพลิ้วก็ตาม
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังควรเสริมสร้างจิตสำนึกต่างๆให้กับผู้กู้ยืม หรือผู้รับทุน เพราะเงินที่ให้กู้ยืมไป เมื่อใช้คืนมาจะนำไปให้คนรุ่นถัดไป ได้ใช้กู้ยืมเพื่อการศึกษา เพื่ออนาคต หากไม่มีการชำระหนี้ที่กู้ยืมไปแล้ว อาจทำให้ไม่มีเงินหมุนเวียนเพียงพอให้ผู้อื่นก็ไปใช้ศึกษาต่อได้
ในกรณีที่ผู้กู้ยืมแล้วบิดพลิ้วเป็นข้าราชการ หรือลูกจ้างของรัฐ ควรที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ให้มีผลกระทบต่อการเลื่อนขั้น บำเหน็จรางวัล หรือมีโทษทางวินัยด้วย เพราะการบิดพลิ้วไม่ชำระหนี้ก่อให้เกิดความมัวหมองต่อตำแหน่งหน้าที่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าหนี้คือหน่วยงานของรัฐ และเงินที่เป็นหนี้เป็นเงินของประเทศชาติ
นอกจากนี้ตามกฎหมาย กยศ.ใหม่ที่เพิ่งแก้ไข กยศ. สามารถให้หน่วยงานต้นสังกัดของข้าราชการและลูกจ้างของรัฐ หักเงินเดือนของผู้กู้ที่เป็นข้าราชการและลูกจ้างของรัฐส่งให้กับ กยศ. ได้แล้ว และจะเริ่มใช้กับการหักเงินเดือนลูกจ้างเอกชนได้ด้วยในปีหน้า
ตามกฎหมายใหม่นี้ กยศ. สามารถได้รับชำระหนี้คืนได้อย่างแน่นอน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินคดี บังคับคดีกับผู้ค้ำประกันก่อนแต่อย่างใด และควรที่จะชะลอการบังคับคดี หรืองดบังคับคดีกับผู้ค้ำประกันที่อยู่ระหว่างการดำเนินการอยู่ด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกรณีดังเช่นคุณครูท่านดังกล่าวขึ้นอีก
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี