เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2561 สะพานทางด่วนยกระดับโมรันดีในเมืองเจนัว ประเทศอิตาลี ได้พังถล่มลงมา ทำให้รถที่วิ่งบนสะพานกว่า 20 คัน ร่วงตกลงมากระแทกพื้นที่มีความสูงกว่า 100 เมตร มีผู้สังเวยเสียชีวิตอย่างน้อย 40 ราย และบาดเจ็บอีกหลายสิบราย เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของอิตาลี
สะพานโมรันดีสร้างเสร็จในปีพ.ศ. 2510 จนถึงปัจจุบันมีอายุกว่า 50 ปี นายสเตอร์เจียส มิตูลิส ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสะพาน คาดการณ์ว่า ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ส่งผลให้สะพานแห่งนี้ทรุดโทรมเร็วขึ้น เพราะอยู่ใกล้เขตอุตสาหกรรม บริเวณโครงสร้างบนส่วนยอดของแขนสะพาน ที่รับน้ำหนักสะพาน ได้เกิดสนิมขึ้น ที่บริเวณเหล็กเสริม ซึ่งเหล็กเสริมตัวนี้ได้ติดตั้ง เมื่อช่วงปีพ.ศ. 2533 ก่อนหน้านี้สะพานโมรันดีใช้แขนคอนกรีตเสริมแรงเป็นตัวรับน้ำหนัก เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะทรุดลงตามกาลเวลา ทำให้ต้องใช้เหล็กเข้ามาเสริมแขน
เมื่อปีพ.ศ. 2555 เจ้าหน้าที่สมาพันธ์อุตสาหกรรม เมืองเจนัว ได้เคยเตือนแล้วว่า สะพานโมรันดี อาจพังถล่มภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นไปดังคำเตือนสะพานได้พังลงมาในปีนี้ นอกจากนี้ เมื่อปีพ.ศ. 2559 นายอันโตนิโอ เบรนซิช วิศวกรโครงสร้างจากมหาวิทยาลัยเจนัว ได้เคยเขียนรายงานเกี่ยวกับสะพานนี้ว่า นายริคคาร์โด โมรันดี ผู้ออกแบบสะพานโมรันดี มีการคำนวณเรื่องการสึกหรอของคอนกรีตเสริมแรงผิดพลาด เมื่อซ่อมสะพานปี พ.ศ. 2533 จึงต้องใช้เหล็กเข้ามาเสริม
หลังจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้ ได้มีผู้เชี่ยวชาญด้านสะพานหลายคนที่เคยทำหน้าที่ตรวจสอบสะพานต่างๆ ได้ออกมาให้ความเห็นว่า สะพานคอนกรีตในอิตาลีที่สร้างในช่วงปีพ.ศ. 2493-2503 ใกล้จะหมดอายุแล้ว และมีหลายร้อยแห่งที่เสี่ยงจะพังถล่มลงมา
เมื่อมีเหตุการณ์สะพานถล่มประกอบกับมีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ทางรัฐบาลอิตาลีต้องจัดสรรงบประมาณบำรุงรักษาสะพานที่มีแนวโน้มจะทรุดตัวลง ซึ่งบางสะพานอาจต้องทุบแล้วสร้างใหม่ เพราะไม่คุ้มกับการซ่อมแซม ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำสอง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นยิ่ง
นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุโรป ในเอเชียมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเช่นกัน ย้อนไป เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2554 ได้เกิดเหตุแผ่นดินไหวขนาด 9 ริกเตอร์และเกิดคลื่นสึนามิ แถบชายฝั่งด้านตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น รอยแยกบนพื้นดินสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ให้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะเมืองโอกุมะ เขตฟุตะบะ จังหวัดฟุกุชิมะ
กรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้ เครื่องปั่นไฟดีเซลจะยังคงเดินเครื่อง เพื่อให้ปั๊มน้ำหล่อเย็นสูบน้ำเย็น เข้าไปเลี้ยงอุปกรณ์สำคัญที่อยู่ใจกลางเตาปฏิกรณ์ คือ แท่งเชื้อเพลิงบรรจุยูเรเนียมที่มีความร้อนสูง ที่อยู่ภายในถังโลหะขนาดใหญ่ แต่เครื่องปั่นไฟดีเซลกลับถูกซัดให้จมอยู่ใต้คลื่นยักษ์ ทำให้กระแสไฟฟ้าถูกตัดขาด น้ำที่อยู่รอบๆ แท่งเชื้อเพลิงเริ่มกลายเป็นไอเชื้อเพลิงยูเรเนียมที่ร้อนจัดค่อยๆ รั่วออกจากแท่งเชื้อเพลิง ก๊าซไฮโดรเจนไหลไปทั่วอาคาร ที่เป็นที่ตั้งของเตาปฏิกรณ์จนเกิดการระเบิดผลที่ตามมาคือ กลุ่มควันปนเปื้อนสารกัมมันตรังสีขนาดใหญ่ ได้กระจายออกมาสู่อากาศภายนอก
ผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการได้ให้ความเห็นว่า อันตรายจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังคงมีอยู่ ตราบใดที่เชื้อเพลิงยูเรเนียมภายในเตาปฏิกรณ์ยังถูกกำจัดไม่หมด และต้องมีการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่ปนเปื้อนสารกัมมันตรังสี นอกจากนี้ กากกัมมันตภาพรังสีต้องได้รับการฝังกลบอย่างปลอดภัย กระบวนการที่ว่านี้ต้องใช้เวลา 30-40 ปี องค์กรรณรงค์อิสระเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมระดับโลกอย่าง กรีนพีซ (Greenpeace) ได้เปิดเผยสำรวจเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2561 ว่าสารกัมมันตรังสีจะยังคงปนเปื้อนอยู่ในพื้นที่อย่างน้อยถึงปีพ.ศ. 2593
ในตอนที่ออกแบบสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ ผู้เชี่ยวชาญด้านธรณีวิทยาได้เคยให้ความเห็นไว้ว่า บริเวณนี้อยู่บนเปลือกโลกที่หากเกิดแผ่นดินไหว จะมีความรุนแรงกว่าปกติหลายเท่า แต่คำเตือนดูเหมือนไร้ผล เพราะผู้ออกแบบโรงไฟฟ้าคิด (อย่างประมาท) ว่า สามารถรับมือกับภัยธรรมชาติได้
เหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 กับประเทศลาวเพื่อนบ้านของไทย นั่นคือ เขื่อนเซเปียน-เซน้ำน้อย” ในแขวงอัตตะปือทางตอนใต้ของ สปป. ลาว แตก ทำให้หลายชีวิตต้องหายไปกับสายน้ำ ประชากรหลายพันหลังคาเรือนไร้ที่อยู่อาศัย
เขื่อนนี้ออกแบบโดยบริษัทเกาหลีนักวิชาการสันนิษฐานว่า บริษัทอาจคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนของพื้นที่บริเวณนี้ผิดพลาด เมื่อมีมวลน้ำก้อนใหม่มาเติม ปริมาณน้ำเพิ่มสูงขึ้น น้ำที่กักเก็บระบายออกไม่ทัน เมื่อน้ำขึ้นสูงเกินระดับที่จะกักเก็บไว้ จึงทำให้เขื่อนพัง
ไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุ คือ วันที่ 20 กรกฎาคม 2561 วิศวกรของบริษัทเกาหลีได้สังเกตเห็นความผิดปกติคือ โครงสร้างตรงกลางเขื่อนมีระดับน้ำสูงกว่าปกติไป 4 นิ้ว แต่กลับคิดเอาเองว่า เป็นเพราะฝนที่ตกหนักติดต่อกันหลายวัน วิศวกรจึงตัดสินใจเฝ้าดูสถานการณ์แทน จึงไม่ได้แจ้งต่อหน่วยที่เกี่ยวข้องต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหา ต่อมาวันที่ 22 กรกฎาคม 2561 วิศวกรพบว่าทางด้านบนของเขื่อนมีรอยร้าว 10 รอย และตั้งใจที่จะออกไปซ่อมแซม แต่อุปกรณ์ซ่อมแซมกลับมาถึงวันที่ 23 กรกฎาคม 2561 ซึ่งสายเกินแก้เสียแล้ว เพราะเขื่อนแซเปียน-เซน้ำน้อย ได้แตก และได้สร้างความเสียหาย คร่าชีวิตผู้คน และมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
กรณีของ สปป. ลาว ชี้ให้เห็นถึงความประมาทและความท้าทายของธรรมชาติ ภัยพิบัติทางธรรมชาติถือว่า มีความรุนแรงมาก เมื่อมีสัญญาณที่เตือนภัย อย่างกรณีของน้ำสูงกว่าปกติ ควรเตรียมตัวแก้ไข ไม่ใช่เพียงแต่เฝ้าระวัง
กรณีดังกล่าว จึงควรถือเป็นตัวอย่างที่ประเทศจะได้ตระหนักถึงความประมาท และอันตรายที่ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากไม่ได้ใช้ความระมัดระวังอย่างพอสมควร
คงเป็นการดี ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นสาธารณูปโภคต่างๆ ควรตรวจสอบสิ่งปลูกสร้างนั้น ก่อนเวลากำหนด เพื่อป้องกันความหายนะที่จะเกิดขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี