ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยครั้งว่า “อะไรและทำไม” การศึกษาของไทยจึงเดินมาบน “วิถีนี้” คือวิถีที่มุ่งเน้นแต่เรื่อง “วัตถุ” จนไม่ไยดีเรื่อง “จิตใจ”
การศึกษาไทยได้รับการสถาปนาอย่าง “เป็นระบบ – เป็นทางการ – เป็นราชการ” ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และก็ยอมรับกันว่าเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องจำเป็นและถูกต้อง เพราะก่อนหน้านี้การศึกษาของไทยนั้น “จำกัดอยู่ในวงแคบๆ และก็สอนกันไปตามถนัด” ส่วนมากก็สอนและเรียนกันอยู่ในวัด เพราะในยุคนั้นคนที่มีความรู้ก็คือพระภิกษุ
วิชาที่สอนก็แค่ “ภาษาไทย เลขคณิต และพุทธศาสนา” ที่ต่อมา...แม้ในสมัยที่ผมเป็นนักเรียนและเป็นครูก็ยังมีการเรียนที่แย่กว่านั้น(บางโรงเรียน) จนเรียกกันเล่นๆว่า “เลข คัด เลิก”
คือแม้จะมีหลักสูตร มีตำรา แต่ครูก็ยังสอนอยู่แค่นั้น ยิ่งห่าง “ไกลปืนเที่ยง” ก็ยิ่งไม่ได้สอนกันจริงจัง (เมื่อ 20 ปีที่แล้วกระทรวงศึกษาธิการประกาศว่าประเทศไทยปลอดคนไม่รู้หนังสือ!)
กลับไปที่คำถามที่ผมถามตัวเองในตอนต้น...ว่าทำไมการศึกษาไทยจึงเป็นอย่างทุกวันนี้ ?
คำตอบที่คิดได้ตอนนี้คือ ประการแรก เราไม่ประสพการณ์เรื่องการศึกษาอย่างเป็นระบบระเบียบอย่างในประเทศตะวันตก ดังนั้นเมื่อรัชกาลที่ 5 ต้องการสถาปนาการศึกษาขึ้นในประเทศไทย พระองค์จึงต้อง “มอง” ไปที่ประเทศตะวันตก พระองค์ได้โปรดให้มีการศึกษาหลักสูตรในประเทศตะวันตกหลายประเทศ และสุดท้ายก็เลือกหลักสูตรของประเทศอังกฤษ
เหตุผลก็น่าสนใจก็คือ มีระบบการปกครองเหมือนกัน
หลักสูตรการศึกษาของประเทศอังกฤษจึงเป็นแม่แบบของการศึกษาไทยนับแต่นั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะรับแต่ “วิชาการ” ของประเทศอังกฤษอย่างเดียว หากแต่รับมาจากหลายประเทศอย่าง อเมริกา เป็นต้น ได้นำมาผสมผสานและประยุกต์เข้ากับองค์ความรู้ของไทยด้วยหลายอย่าง
ด้วยเหตุนี้...เราจึงเชื่อว่าเราด้อยกว่า เขาเหนือกว่าเรา เจริญกว่าเรา มีความรู้มากกว่าเรา จนเราขาดความเชื่อมั่นต่อตัวเราเอง และค่อยๆปฏิเสธภูมิปัญญาของเราเองไปด้วย
ประเทศตะวันตกนั้นเด่นในเรื่อง “วิทยาการ” หรือมีความรู้มากมายหลายอย่าง เขามีนิสัยชอบแสวงหาความรู้ ทดลองค้นคว้าหาความรู้ใหม่ๆ จนเป็นผู้นำ “ทางแห่งความรู้” สมัยใหม่ที่เรียกว่า “วิทยาศาสตร์”
แต่เราและประเทศตะวันออกเด่นเรื่อง “จิตวิญญาณ” หรือเรื่องราวของชีวิต รวมถึงเรื่องศีลธรรมด้วย โดยมีพระพุทธศาสนาเป็นองค์ความรู้ที่สำคัญ
เมื่อเรียนและสอนกันไปไม่นาน เราก็หลงว่า “วิทยาการและวิทยาศาสตร์” เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิต และการพัฒนาด้านต่างๆเพื่อสนอง – บำรุง บำเรอชีวิตเรา จนกลายเป็นว่าเราละทิ้งเรื่องจิตวิญญาณไป
แม้ในสมัยที่เริ่มสถาปนาการศึกษานั้นเอง รัชกาลที่ 5 ก็ยังทรงออกมาเรียกร้องให้นำศีลธรรมกลับมา!
ผมจึงเห็นว่าการศึกษาไทยได้ “ละทิ้ง” เรื่องจิตวิญญาณ เรื่องศีลธรรมไปพร้อมกับการสถาปนาการศึกษาอย่างเป็นระบบเลยทีเดียว
จะเรียกว่า “เห่อฝรั่ง” กันแต่เริ่มแรกเลยก็ย่อมได้
และเราก็เห่อกันมาจนวันนี้
“ฝรั่ง” ว่าอย่างไร เราก็ว่าอย่างนั้น
จะเขียนงานวิชาการ จะทำวิจัย จะค้นคว้าหาความรู้ ก็ต้องค้นหาจากตำราของฝรั่ง ด้วยวิธีของฝรั่ง อ้างฝรั่ง ไม่งั้นคนไทยด้วยกันไม่เชื่อ และไม่เท่!
แม้แต่รัชกาลที่ 5 เองจะทรงออกมาเรียกร้อง – ปรารภเรื่องศีลธรรม เรื่องพระพุทธศาสนาก็ยังไม่มีใครฟัง!
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ก็ร้อยกว่าปีแล้ว วันเวลาผ่านไปเนิ่นนานจนยากที่เราจะ “ตั้งหลัก” ดังที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเรียกร้องและปรารภได้แล้ว
และแม้ทุกวันนี้จะมีปราชญ์ตะวันออกหลายท่านออกมาแสดงความเห็น เสนอแนะ รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์การศึกษา ดังที่ผมเขียนถึงมานับสิบตอนก็ยังไม่มีใครสนใจจะฟัง
เมื่อกระทรวงศึกษาธิการไม่สนใจจะฟัง ยังคงเชิดหน้าเดินไปในวิถีเดิม การศึกษาที่แท้เพื่อพัฒนาชีวิตมนุษย์ขึ้นสู่ศักยภาพสูงสุด หรือบรรลุสู่ความเป็น “มนุษย์ที่สมบูรณ์” ก็ไม่สามารถจะเริ่มต้นได้
ไม่ใช่เพียงแค่นี้...หากแต่ยังจะเป็นต้นเหตุให้โลกล่มสลายไปด้วย
ถ้ารัฐหรือประเทศมี “เป้าหมาย” เพื่อปกป้องดูแลพลเมืองและสร้างสันติสุขให้แก่สังคม โดยมีการศึกษาเป็น “เครื่องมือ” รัฐหรือประเทศนั้นก็จะต้องเปลี่ยนแปลงเครื่องมือให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้วย
ไม่ใช่ตั้งเป้าหมายไว้อย่าง แต่กับใช้เครื่องมือไปทำอีกอย่าง...
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี