หลังจากได้ตัวแทนพรรคเพื่อชิงชัยในศึกประธานาธิบดีแล้ว ชาวโลกก็นั่งลุ้นรอการดีเบตระหว่างนางฮิลลารี่ คลินตัน และโดนัลด์ ทรัมป์อย่างกระวนกระวายเพราะมั่นใจได้ว่าเลือดสาดแน่นอน แต่ยังไม่ทันจะขึ้นเวทีอย่างเป็นทางการเลย ทั้งคู่ก็ฟัดกันนัวเปื้อนโคลนกันทั้งคู่ เลยคิดว่าจะพักเรื่องการเมืองอเมริกันไว้ก่อน แล้วหันมาคุยประเด็นที่กำลังร้อนในประเทศไทยแทน นั่นคือประเด็น “ธงชาติและชนชังชาติ”
ต้นเรื่องมีอยู่ว่าชาวโซเชียลแห่ชื่นชมเด็กชายวัย 12 ปี ซึ่งเป็นนักเรียนในจังหวัดอ่างทองลุยฝ่าสายฝนเก็บผืนธงชาติที่โดนพายุพัดกระหน่ำจนตกลงมาที่พื้น และมีนักเรียนรุ่นพี่ถ่ายรูปมาลงในโซเชียลเน็ตเวิร์ค จากนั้นก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจ นักเรียนคนนั้นเล่าว่าตัวเองได้รับการอบรมว่าธงชาติเป็นของสูงไม่ควรอยู่ที่ต่ำ พอเดินกลับบ้านเห็นธงถูกฝนซัดตกลงมา จึงเดินฝ่าสายฝนไปเก็บธงชาติมาเก็บไว้ในที่อันควรเนื่องจากธงชาติควรอยู่ในที่สูง ถือเป็นสัญลักษณ์ของชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์
เท่านั้นแหละก็เกิดดราม่าตามมาทันที โดยฝ่ายที่เห็นด้วยมองว่าเป็นการกระทำที่น่ารักและดีงาม ส่วนกลุ่ม “ชนชังชาติ” หรือกลุ่มนักวิชาการสายแดงหัวก้าวหน้าออกโรงด่าทอโดยหยิบยกกรณีของด.ช.ประทีปมากล่าวอ้าง เพื่อนำไปขยายความเป็นวาทกรรมทางการเมืองว่าคนไทยที่ชื่นชมเด็กนักเรียนคนนั้นล้วนแต่คลั่งชาติ
นักวิชาการตาสว่างมักมีตรรกะทำนองนี้ออกมาเสมอว่ารัฐชาติเป็นเรื่องสมมุติ การที่คนไทยไม่เจริญส่วนหนึ่งมาจากความคลั่งชาติและสถาบัน จากนั้นก็ด่าทอทุกอย่างเกี่ยวกับชาติ ศาสนา และสถาบันกษัตริย์โดยมั่นใจไปเองว่าการด่ารากเหง้าตัวเองคือความก้าวหน้าแบบลิเบอรัล ที่ตลกมากที่สุดคือชนชังชาติกลุ่มนี้มักอ้างอิงทำนองว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาไม่คลั่งชาติเด็ดขาด
ในฐานะที่อยู่อเมริกามานานจนกลายเป็นบ้านหลังที่สอง พอได้ฟังวาทกรรมแบบนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ เวลาเห็นตรรกะแนว "ไม่ควรมีธงชาติ” หรือ “ไม่ควรมีการบังคับให้เคารพธงชาติ” เพราะคิดเอาเองว่าประเทศเสรีประชาธิปไตยอย่างอเมริกาไม่มีเรื่องแบบนี้
ทุกประเทศที่เหล่าตาสว่างแต่ชังชาติยกย่องว่าศรีวิไลและเจริญกว่าประเทศไทยที่ชนชังชาติพวกนี้ดูถูกเนืองๆว่า “กะลาแลนด์” ล้วนแต่มีการแสดงความจงรักภักดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความภักดีต่อสถาบันใด ซึ่งหนีไม่พ้นการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักทั้งสามคือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์นั่นแหละ เพราะสิ่งเหล่านี้คือเครื่องยึดเหนี่ยวให้รวมเป็นชาติเพื่อให้ทุกคนมีความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเพื่อสร้างประโยชน์ในสังคมไปในทิศทางเดียวกัน ในทางสังคมวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า "Solidarity" หรือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งในสังคมและในความเป็นประเทศ
อเมริกานั้นเหมือนเบ้าหลอมรวมชาติพันธุ์หรือเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมจับฉ่ายจากทั่วทุกมุมโลกมาตกคลั่กบนแผ่นดินเดียวกัน และสิ่งที่รวมใจอเมริกันทั้งปวงก็คือความเป็นชาติ โดยมีสัญลักษณ์ชัดเจนอย่างธงชาติอเมริกันนั่นแหละ
อยากจะเล่าว่าเด็กอเมริกันทุกคนต้องมายืนตาแป๋วทุกเช้าไม่ต่างไปจากนักเรียนไทย จากนั้นก็สาบานตนต่อธงชาติหรือที่เรียกว่า Pledge of Allegiance ตามนี้
“I pledge allegiance to the Flag
of the United States of America,
and to the Republic for which it stands,
one Nation under God, indivisible,
with liberty and justice for all.”
"ข้าพเจ้าขอสาบานต่อธงชาติแห่งสหรัฐอเมริกาว่า
จะจงรักภักดีต่อสาธารณรัฐแห่งนี้
ที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกภาพ
ภายใต้พระผู้เป็นเจ้าอันไม่อาจแบ่งแยก
ด้วยเสรีภาพและความยุติธรรมต่อส่วนรวม"
นักเรียนอเมริกันสมัยก่อนเวลาสาบานตนต้องเหยียดมือไปข้างหน้า แต่หลังสงครามโลก ชาวอเมริกันเห็นว่าท่าเหมือนกับฮิตเลอร์ ซึ่งเป็นที่เกลียดชังของเหล่ามะริกันชน เลยเปลี่ยนมาเป็นท่ามือทาบอกแตะหัวใจแทน
การสาบานตนต่อธงชาตินี้ถือเป็นสิ่งที่นักเรียนในอเมริกาต้องปฎิบัติตามและถือเป็นเรื่องสำคัญในการสาบานตนเป็นพลเมืองอเมริกันเช่นกัน ผู้ที่จะใช้สัญชาติอเมริกันจะต้องกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณตนหรือ Pledge of Allegiance แบบเดียวกับนักเรียนทั้งหลาย จากนั้นก็โบกธงชาติอเมริกาที่ได้รับแจกมาและร้องเพลงชาติกันกระหึ่มต่อหน้าธงชาติ
ขอเล่าประสบการณ์ส่วนตัวอีกเรื่องว่าในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกาที่สถาบันสมิธโซเนี่ยนอันเป็นแหล่งเก็บสมบัติของชาติที่เปิดให้ชมฟรี มีห้องหนึ่งเก็บธงชาติผืนสำคัญอันเป็นที่มาของเพลงชาติ "The Star Spangled Banner" ห้องนั้นเป็นห้องมืดและห้ามถ่ายรูป มีเก้าอี้แถวยาวๆ ให้นั่งพัก เลยถือโอกาสสังเกตการณ์ไปด้วยในตัว จึงเห็นว่าอเมริกันทั้งหัวหงอกหัวดำเมื่อเดินไปยืนหน้าธงชาติผืนนั้นต่างยกมือทาบหัวใจแล้วร้องเพลงชาติทันทีแบบไม่มีอาย บางคนร้องค่อยๆ บางคนก็ร้องเสียงดังอย่างภูมิใจ บางคนน้ำตาไหลพรากตอนร้องเพลง เห็นแล้วอดคิดถึงบรรดาชนชังชาติของไทยไม่ได้
ยังไม่พอเท่านั้น อเมริกายังมีวันเฉพาะที่เรียกว่า "วันธงชาติ"อีกต่างหาก นั่นคือวันที่ 14 มิถุนายนของทุกปีคือวันธงชาติอเมริกา โดยเริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1777 และถือเป็นวันก่อตั้งกองทัพอเมริกันด้วยเช่นกัน แม้จะไม่ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดประจำปี แต่ก็ถือว่าเป็นวันหยุดในบางรัฐ เช่น เพนซิลเวเนีย มีการเฉลิมฉลองและจุดพลุในวันนี้
จากตัวอย่างที่ยกมาเพียงหอมปากหอมคอ อาจจะทำให้ใครหลายคน “ตาสว่าง” เลิกอคติกับความคิดแนว “ชังชาติ” จนเลิกด่าคนอื่นว่าคลั่งชาติงมงายใต้กะลาแลนด์ลงได้บ้าง ความรักชาตินั้นไม่ได้หมายถึงความคลั่งชาติ เพราะทุกประเทศล้วนภูมิใจในความเป็นชาติของตนทั้งสิ้น โดยเฉพาะประเทศต้นแบบที่เหล่าชนชังชาติยกย่องเหลือเกินจนลืมมองความเป็นจริงของประเทศนั้นๆ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี