1) มีหลายคนถามผมว่า “ทำไมไม่เขียนแสดงทัศนะทางการเมืองบ้าง?”
ผมเคยแสดงทัศนะทางการเมืองมาแล้วในเฟซบุ๊คนับแต่ปี 2553 – 2557 แล้วก็ปิด(ชั่วคราว)มาจนบัดนี้
มีเหตุผลหลายอย่างที่ปิดไป แต่เหตุผลหลักก็คือไม่อยากโต้เถียงกระทั่งทะเลาะกับเพื่อน ทั้งในจอสี่เหลี่ยมและนอกจอสี่เหลี่ยมด้วยเรื่องการเมือง... ผลที่ตามมาก็คือผมยังรักษาเพื่อนไว้ได้หลายคน!
ไม่ใช่กลัวว่าจะไม่มีใครคบ เพราะผมมีหมาๆคบอยู่แล้ว! แต่ต้องการถอยออกมาตากอากาศในที่โล่งกว้าง แล้วหาคำตอบให้ตัวเองว่า "ทำไมผู้คนจึงยอมให้ลัทธิการเมืองเข้ามากำกับ - บงการชีวิตได้...กระทั่งต้องแบ่งกันเป็นพวก เป็นฝ่าย กดขี่ บีบคั้น เหยียดหยามและทำลายล้างกันสารพัดวิธีด้วยเล่า?”
บางคนเอาเป็นเอาตายแบบ “ผีไม่ยอมเผา เงาไม่ยอบเหยียบ” กันเลย
คำตอบที่ไม่ต้องคิดค้นอะไรเลยก็คือ “เราเลือกเชื่อข้อมูลข่าวสารและลัทธิอุดมการณ์ฯต่างกัน” ด้วยคิดเอาเองว่าถ้านำมันมาใช้แล้วจะทำให้สังคมสงบสุข ฯลฯ
หลายคนเชื่อแค่ข้อมูลข่าวสารตื้นๆ ปลอมๆ บ้างก็เชื่อนักการเมืองที่นำผลประโยชน์มาให้ตน ทั้งที่มากับนโยบาย – โครงการต่างของพรรค กระทั่งซื้อเสียงกันตรงๆ
รวมทั้งเชื่อ “ภาพฝันชีวิตอันสวยงามที่นักการเมืองยกมาหลอกล่อ”
บ้างก็เชื่อลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองเศรษฐกิจ และต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ให้เป็นไปตามลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองเศรษฐกิจที่ตนเองเชื่อ
แต่ผมมีคำตอบที่ได้รับมากกว่าที่กล่าวข้างต้น นั่นคือ ผมเคยเข้าใจว่า "คนใช้ลัทธิการเมืองเศรษฐกิจและอุดมการณ์ต่างๆเป็นเครื่องมือของตน"
แต่แล้วผมก็เห็นว่า "การเมืองและลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองเศรษฐกิจต่างหากที่ใช้คนเป็นเครื่องมือ!"
ผมจึงพูดเรื่องการเมืองน้อยมาก ถ้าพูดก็ทางอ้อม(อย่างในนสพ. แนวหน้าออนไลน์นี้) ด้วยเกรงว่าจะตกเป็น “เครื่องมือ” ของมัน...
เพราะถ้ามันใช้เราเป็นเครื่องมือของมัน หรือเรายอมรับให้มันบงการชีวิตเรา เราก็จะต้องกระทำตามที่มันสั่งสอน...ให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
มันอาจจะยุยงส่งเสริมให้เกลียดชังเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และกลายเป็นศัตรูกัน กระทั่งเข่นฆ่าทำลายล้างกันในที่สุด...ถ้าอีกคนหรืออีกฝ่ายไม่ยอมเป็นเครื่องมือของมัน หรือไม่เชื่อมัน หรือเชื่อลัทธิอุดมการณ์ทางการเมืองเศรษฐกิจอื่น
2) ทำไมมนุษย์จึงตกเป็นเครื่องมือและกระทำแก่กันอย่างที่กล่าวมา?
มนุษย์มักเข้าใจว่าตัวเองอยู่เหนือความคิด เพราะเข้าใจว่าตัวเองเป็น "ผู้คิด"
มนุษย์คิดได้เพราะจิตเคลื่อนไหล - เกิดดับตามธรรมชาติของมัน ทำนองเดียวกับสายลม สายน้ำ ลำแสง หรือทุกสรรพสิ่ง
แต่จิตนั้นมี “ความจำ” อยู่ด้วย มันจำเป็นภาพและต่อมาเมื่อคนคิดสัญลักษณ์แทนภาพที่เรียกว่า "ภาษา" ได้ มันจึงจำภาษาไว้ด้วย
ภาษาคือคำ วลี ประโยค...ดังนั้นเมื่อจิตคิดหรือเคลื่อนไหลอย่างเกิดดับ มันจึงมีภาพและภาษาเคลื่อนไหลตามด้วย...ทำนองเดียวกับสายน้ำที่มีพืชผักและขยะปฏิกูลไหลไปกับมัน
จิตนั้นคิดเป็น "ธรรมดา" อยู่แล้ว คิดกุศล คิดอกุศล คิดเป็นคุณ คิดเป็นโทษ ฯลฯ คิดแล้วก็ "ส่งไม้" ต่อให้เกิดการกระทำด้วยคำพูดบ้าง ด้วยการกระทำทางกายบ้าง
ถ้าคิดแล้วเราไม่สนใจมัน มันก็เป็นหมันไปเอง ดีกว่านั้น พระท่านว่า "ดูมัน" หรือพิจารณาความคิดนั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการวิปัสสนา
การจะดูว่าอะไรตกเป็น "เครื่องมือ" ของอะไร
ใครตกเป็นเครื่องมือของใคร
"เรา" หรือ "ความคิด" กันแน่ ก็ต้องดูว่า "อะไรใช้อะไร"
ถ้าเราทำตามความคิดทุกอย่างโดยไม่ “รู้ตัว” ไม่ว่าดีหรือชั่ว เราตกเป็นเครื่องมือของมัน
ถ้าเราใช้มันอย่างรู้ตัว เพื่อให้เกิดปัญญามันเป็นเครื่องมือของเรา
แต่ในโลกปัจจุบัน สิ่งที่ผมเห็นก็คือคนส่วนมาก (รวมทั้งผมด้วย)ได้ตกเป็นเครื่องมือของความคิด ทั้งความคิดยิบย่อยและความคิดในระดับชุดความคิด หรือ "วาทกรรม" อย่างลัทธิและอุดมการณ์ต่างๆ เป็นต้น
คนที่ตกเป็นเครื่องมือของความคิดในระดับวาทกรรมอย่างลัทธิและอุดมการณ์ต่างๆ นั้นมักจะก้าวร้าว รุนแรง อำมหิต หมกมุ่นอยู่กับการปั่นหัวคนให้ตกเป็นเครื่องมืออย่างตน
กระทั่งลอบฆ่า ก่อวินาศกรรม ไปถึงการจัดตั้ง - สร้างม็อบ - เข่นฆ่าทั้งฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายเดียวกัน เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดการทำลายล้างออกไปอย่างกว้างขวาง ด้วยหวังว่ามันจะทำให้บรรลุถึงความเชื่อของตน...
หรือ "ความเป็นเครื่องมืออย่างสมบูรณ์" ของตน
พวกเครื่องมือเหล่านี้ได้สูญสิ้นความเป็นมนุษย์ กลายเป็น “วัตถุ” ในรูปลักษณ์ของ "เครื่องจักร" (สมกับที่มี"วัตถุนิยม" เป็นสรณะ) จึงไม่เห็น "ชีวิต" ของตัวเองและชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
เครื่องมือนี้สามารถทำลายชีวิตผู้อื่นได้..ในนามของการกำจัดศัตรู
ทำลายชีวิตตัวเองได้..ในนามของผู้เสียสละเพื่ออุดมการณ์...
"เครื่องมือ" เหล่านี้จะห่อหุ้มด้วย "ฉลาก" สีรุ้งสวยงาม เพื่ออวดอ้างสรรพคุณของตัวมัน เช่น ประชาธิปไตย สิทธิและเสรีภาพ ความเท่าเทียม ความเป็นธรรมในสังคม ชาตินิยม มนุษยธรรม ฯลฯ
แต่ลองมีใครสักคนเห็นต่างหรือคัดค้านพวกเครื่องมือเหล่านี้สิ ก็จะโดนก่นประณามทันที และมักจะมีของแถมตามมา ..."กระทืบแม่งเลย!"
เหตุการณ์ที่มนุษย์ทำลายล้างกันในระดับโลกและในยุค "เสื้อสี" นั้น ได้เปิดเผยอย่างโจ่งแจ้งและชัดเจนแล้วว่า "คนกับความคิด" ใครตกเป็นเครื่องมือของใคร?
ใครเป็นเครื่องมือในสภาพเครื่องจักร
ใครเป็นมนุษย์...มีชีวิต
ผมเห็นว่าหากเราไม่เห็น “ปมเงื่อน” ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังความคิด – ความเชื่อของเรา ไม่ว่าในระดับใด มันจะมีอำนาจเหนือเรา และใช้เราเป็นเครื่องมือของมัน
ทั้งที่ตัวมันเองก็เป็นแค่ความคิด – ความเชื่อเช่นกัน
และ...ความคิด – ความเชื่อนั้นไม่ใช่ “ความจริงแท้”
เมื่อมันไม่ใช่ความจริงแท้มันจึงไม่ใช่ “ของจริง” ที่เราจะฝากความหวังไว้กับมันได้
มันเป็นเพียง “ภาพฝัน” ของคนที่คิดมันขึ้นมา (ไม่ว่าจะมีเจตนาดีเพียงใด) และคนที่นำมาเป็นสรณะจนตกเป็นเครื่องมือก็ “ฝันต่อ” และพยายามกระทำให้มัน “เป็นจริง” ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร
แต่ผลที่ได้รับมาก็คือ มนุษย์เข่นฆ่าทำลายล้างกันทั่วโลก เพื่อเสนอสนองหรือ “บูชายัญ” แก่มัน
และจะฆ่ากันต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด.
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี