การปฏิวัติสยามเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 มีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนรูปแบบการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
การปฏิวัติครั้งนั้นเกิดขึ้นโดยคณะนายทหารและพลเรือนที่ประกอบกัน เรียกว่า "คณะราษฎร" ทำให้ประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก
คณะราษฎรประกอบด้วยผู้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ 4 คน ทหารบก 35 คน ทหารเรือ 25 คน พลเรือน 55 รวมแล้วก็ 105 คน ไม่นับบรรดาระดับรองๆ
แม้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว แต่การต่อสู้ทางการเมืองก็ยังไม่จบ ยังมีการต่อสู้กันระหว่างผู้นำใน “ระบอบเก่า” กับ “ระบอบใหม่” ดังจะเห็นได้จาก “กบฏบวรเดช” ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ซึ่งเป็นการกบฏครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475
การกบฏครั้งนั้นมีสาเหตุมาจากการโต้แย้งกันในเรื่อง “เค้าโครงเศรษฐกิจ” ที่นายปรีดี พนมยงค์เป็นผู้เสนอ และถูกมองว่าเป็น "ระบอบคอมมิวนิสต์" กับข้อโต้แย้งเรื่องพระเกียรติยศและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบใหม่
พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชจึงได้นำกำลังทหารจากหัวเมืองเข้าโจมตีที่กรุงเทพฯแถวหลักสี่ แต่ฝ่ายรัฐบาลก็สามารถปราบปรามคณะกบฏลงได้ ส่วนพระองค์เจ้าบวรเดชและพระชายาได้หนีไปยังประเทศกัมพูชา จากนั้นมาฝ่ายระบบเก่าก็หมดกำลังอำนาจลง แต่ปัญหาการแย่งชิงอำนาจการปกครองก็ยังไม่ได้หมดไปด้วยอย่างเดิม เพราะบุคคลสำคัญในคณะราษฎรได้หันหน้ามาแย่งชิงอำนาจและกำจัดกวาดล้างกันเอง
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมืองนับแต่วันปฏิวัติได้ดำเนินต่อเนื่องมากว่า 25 ปี คณะราษฎรจึงหมดอำนาจไป
ในช่วงเวลายาวนานถึง 25 ปีนั้นมีคำถามว่าประเทศไทยได้อะไรบ้าง?
มีคนตอบไว้มากแล้ว ทั้งฝ่ายระบบเก่าและฝ่ายระบบใหม่ มีทั้งบทความทั่วไปและงานวิชาการอันขรึมขลังก็มีไม่น้อย ดังนั้นผมก็ขอตอบตามประสาคนธรรมดา หรือตอบด้วยสามัญสำนึกของคนธรรมดา ไม่ใช่นักวิชาการรัฐศาสตร์ที่มีกรอบทฤษฎีหรือแว่นในการมอง...
นั่นคือ...ผมไม่เรียกว่าเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ว่าเป็นการปฏิวัติหรืออภิวัฒน์ แต่เป็นการรัฐประหาร” (คำว่า ‘อภิวัฒน์’ บัญญัติโดย ดร. ปรีดี พนมยงค์)
เพราะการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจะต้องเปลี่ยนแปลงทั้ง “รูปแบบและเนื้อหา” แต่การเปลี่ยนแปลงโดยคณะราษฎรนั้นเปลี่ยนได้แค่ชื่อระบบ ส่วนเนื้อหาก็มีแต่การทำลายล้างศัตรู ทั้งในฝ่ายระบบเก่าและในฝ่ายเดียวกัน
ไม่มีเนื้อหาอะไรที่จะยืนยันได้ว่า “ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตย” โดยประชาชนมีสำนึกและมีส่วนร่วมในการสถาปนาระบอบประชาธิปไตย แม้แต่คนในคณะราษฎรด้วยกันเองก็ไม่มี
เพราะถ้ามีก็ไม่ต้องแย่งชิงอำนาจกันเอง
แต่ผมกลับเห็นว่ามีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เรียกได้ว่าทำการ “ปฏิวัติ” หรือ “อภิวัฒน์” สังคมไทย ก็คือกลุ่มคนที่เป็นนักโทษการเมืองของ “คณะราษฎร” ในคดีกบฏบวรเดช
นักโทษกลุ่มนี้ถูกจับและถูกศาลตัดสินจำคุกในปี ๒๔๗๖ ซึ่งมีทั้งนายพล นายพัน นายร้อย เจ้าคุณ คุณหลวง คุณพระ หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ หม่อมหลวง และอายุก็แตกต่างกัน
บุคคลสำคัญในกลุ่มนี้คนหนึ่งก็คือ “สอ เสถบุตร” และบรรดาเพื่อนร่วมคุกของเขา
เพื่อนร่วมคุกและร่วมห้องของ สอ เศรษฐบุตร มีอาทิ ม.ร.ว. นิมิตรมงคล นวรัตน นายเชื้อ ชมวิทย์ และหลวงสรสิทธยานุการ (สิทธิ แสงชูโต)
ตอนที่ “สอ เศรษฐบุตร” ต้องโทษคุมขังตลอดชีวิตนั้นเขาอายุแค่ 30 ปี จึงเหลือเวลาอีกมากกว่าชีวิตจะถึงวันตาย เขาจึงคิดที่จะทำงานที่เขารัก เช่นเดียวกับคนอื่นๆ
คนอื่นๆก็ได้แก่...มหาเสวกโท หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ผู้มีชาติวุฒิและคุณวุฒิสูงสุด ท่านสอนภาษาอังกฤษและ “วิชากสิกรรมบนที่ดอน” โดยใช้พื้นซีเมนต์ต่างกระดานดำ ท่านเป็นเจ้าของวลีอันโด่งดัง “เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาเป็นของมีจริง”
นาวาเอก พระยาศราภัยพิพัฒ ศึกษาภาษาจีนกลางจากนักโทษชาวจีนที่ต้องโทษคดีคอมมิวนิสต์ จนอ่านเขียนได้คล่องแคล่ว
ส่วนหลวงสรสิทธยานุการ ก็สอนภาษาญี่ปุ่นให้แก่นายทหารหนุ่ม ๆ
พระมหาเมฆ อำไพจริต เปรียญธรรม ๙ ประโยค ห่มผ้าเฉวียงบ่าแสดงธรรมแก่เพื่อนผู้ร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
สอ เศรษฐบุตร เขียนปทานุกรมอังกฤษ โดยมีชวลิต ปริยานนท์ เด็กหนุ่มร่างใหญ่ นั่งกางสมุดอยู่บนลังไม้ คอยจดถ้อยคำอันพรั่งพรูของเขาลงสมุดด้วยดินสอ
เส็ง ลางคูลเสน (ขุนสินาดเสนีย์) ทม ปิยะพงศ์ พัฒน์ อรรถจินดา ม.ร.ว. นิมิตรมงคล อรุณ บุนนาค ม้วน ชูนาค ประเสริฐ คชมหิทธิ์ ช่วยกันเรียบเรียงอันดับความหมาย ตรวจทานและคัดลอกใหม่ให้กระชับงดงาม
พวกเขาเป็น “คณะสร้างปทานุกรมภาษาอังกฤษเป็นไทย” ฉบับใหญ่ที่สุดของเมืองไทย โดยใช้เวลาถึง 11 ปี และใช้สถานที่เขียนที่เป็นคุกถึง 3 แห่ง
ตุลาคม ๒๔๘๐ โรงพิมพ์กรุงเทพบรรณาคารก็ได้ประกาศจัดพิมพ์ปทานุกรมอังกฤษเป็นไทยออกจำหน่ายเป็นรายสัปดาห์ สัปดาห์ละ ๓ ยก หรือ ๒๔ หน้า เป็นหนังสือประมาณ ๑๐๐ เล่ม หรือ ๒,๔๐๐ หน้า เย็บรวมเป็นเล่มใหญ่ได้ถึง ๒ เล่ม
นี่คือ “คณะอภิวัฒน์” สังคมไทยของแท้
เป็นการอภิวัฒน์ด้านสติปัญญา ด้วยวิชาการอันทรงคุณค่า
เพียบพร้อมด้วยรูปแบบและเนื้อหา
ไม่ใช่ด้วยกำลังอาวุธ
ไม่มีการปล้นชิง เข่นฆ่าทำลายล้างชีวิตใคร
ไม่มีการยึดทรัพย์สินของใคร
ไม่เป็นเผด็จการทรราช
พวกเขาสร้างคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้เป็นมรดกแก่สังคมไทยมาจนวันนี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี