ครอบครัวเป็นสถาบันสังคมที่มีขนาดเล็กที่สุดแต่ที่มีความสำคัญที่สุด เพราะเป็นหน่วยสังคมแรกที่หล่อหลอมชีวิตช่วงแรก รวมทั้งการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูกหลาน อันเป็นคนรุ่นต่อไปสู่สังคม ถือเป็นสถาบันแรกที่ช่วยหล่อหลอมพฤติกรรม การกระทำ และความคิด ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือเป็นคนประเทศไหนอย่างไร ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ย่อมต้องทำตัวเป็นต้นแบบให้ลูกๆ ได้เรียนรู้และจดจำในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพต่อสังคม แทบทุกครอบครัวจะสอนลูกให้เรียนรู้โทษของการโกหก เรื่องแบบนี้ถือเป็นคุณธรรมเบื้องต้นที่ทุกครอบครัวสอนลูกเลยด้วยซ้ำ เพราะทุกคนย่อมรู้ว่าการโกหกนั้นไม่ใช่เรื่องดีงามแต่อย่างใด แม้แต่การโกหกสีขาว แต่ดูเหมือนว่าเรื่องศีลธรรมจริยธรรมเบื้องตันแบบนี้จะใช้ไม่ได้กับครอบครัวประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์
เมื่อเดือนที่แล้ว หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน ขุดคุ้ยเรื่องที่โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ บุตรชายคนโตเคยพบกับทนายความชาวรัสเซียระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งเมื่อปีกลาย ทรัมป์ จูเนียร์ไปพบกับนาตาเลีย วาเซลนิตสกายา ทนายความหญิงซึ่งมีสายสัมพันธ์กับทำเนียบเครมลิน ที่อาคารทรัมป์ทาวเวอร์ในนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ปี 2016 หรือหลังจากที่ทรัมป์ได้เป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน โดยมีลูกเขยทรัมป์คือ เจเร็ด คุชเนอร์ และพอล มานาฟอร์ต ประธานแคมเปญหาเสียงของทรัมป์ในขณะนั้นรวมวงด้วย
ตอนนั้นลูกชายป๋าทรัมป์บอกปัดว่า เจอกันแค่ไม่เกินสามสิบนาที แถมไม่ได้คุยอะไรที่สำคัญเลยแม้แต่น้อย ก็เลยไม่ได้บอกพ่อ ซึ่งลุงทรัมป์ก็เต้นผางเข้ามาปกป้องลูกชายสุดที่รักจนเวอร์ แถมบอกว่าทนายรัสเซียรายนั้นไม่ได้คุยอะไรมากมาย นอกจากเรื่อง “โครงการอุปการะเด็กชาวรัสเซีย”
แต่ตอนนี้เรื่องกลับโอละพ่อ เมื่อหลักฐานจากอีเมลส่วนตัวที่ ทรัมป์ จูเนียร์แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งแดงแจ๋ว่า ลูกชายสุดที่รักของป๋าทรัมป์ตอบตกลงไปพบกับทนายหญิงรัสเซียรายนั้น หลังได้รับแจ้งว่าเธอมี “ข้อมูลอ่อนไหว” ที่สามารถทำลายชื่อเสียงของ ฮิลลารี คลินตัน ซึ่งเป็นคู่แข่งของพ่อ และนี่เป็นส่วนหนึ่งในแผนการของรัสเซียที่จะช่วยให้ทรัมป์ชนะเลือกตั้ง
แต่เรื่องนี้ยังไม่จบเท่านั้น เพราะความมาแตกอีกระลอกว่า ลุงทรัมป์เป็นคนร่างคำแถลงด้วยตัวเองให้ลูกชายโกหกสื่อว่า ประเด็นหลักๆ ที่หารือกับทนายหมีขาวก็คือเรื่องโครงการอุปการะเด็กชาวรัสเซีย พูดง่ายๆ คือ สั่งให้ลูกชายโกหกชาวโลกนั่นเอง
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมาก เพราะหากทรัมป์เป็นคนสั่งร่างคำแถลงบิดเบือนจริงอย่างที่วอชิงตันโพสต์รายงานจริง ทรัมป์ผู้พ่อมีสิทธิ์ถูกฟ้องข้อหาขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
ในขณะที่ชาวโลกกำลังตะลึงกับข้อมูลที่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์กล้าสั่งให้ลูกชายโกหกเพื่อเอาตัวรอดนั้น ทางทีมทนายความของทรัมป์ก็หุบปากเงียบกริบ แต่อาทิตย์นี้ ทำเนียบขาวออกมาแถลงการอ้อมๆ แอ้มๆ ยอมรับว่าประธานาธิบดีผมเป๋ช่วยเขียนคำแถลงให้บุตรชายคนโตออกมาพูดบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับการพบปะทนายสาวชาวรัสเซียจริงๆ
เรื่องนี้ทำให้บรรดาทรัมป์แฟนคลับ ซึ่งจะว่าไปก็ลดน้อยลงทุกที ถ้าจำไม่ผิดตอนนี้เหลือแค่ 33 เปอร์เซนต์เท่านั้นกังวลว่า ทำไมทรัมป์ถึงกล้าทำเช่นนี้ ราวกับไม่รู้ว่าประเด็นนี้คือประเด็นสำคัญที่สุดในการตรวจสอบความสัมพันธ์อันมิชอบระหว่างทีมหาเสียงของตนกับรัฐบาลหมีขาว และที่สำคัญคือ เรื่องนี้อาจจะทำให้ทรัมป์ตกเป็นจำเลยคดีอาญาแบบเต็มๆ
แถมที่ซวยหนักกว่านั้นคือ เรื่องนี้ยิ่งเพิ่มน้ำหนักในทางการเมืองว่าทำเนียบขาวพยายามปกปิดสายสัมพันธ์กับรัฐบาลรัสเซีย ซึ่งใช้อิทธิพลแทรกแซงการเลือกตั้ง เพราะชาวโลกรู้ดีมากว่าเฮียปูตินนั้นเกลียดนางฮิลลารี่ที่สุด จึงแอบช่วยทรัมป์อย่างลับๆ แต่เรื่องลับๆ ดูท่าจะกลายเป็นเรื่องที่ชาวโลกเม้ามอยกันกระหึ่มแล้วนาทีนี้
ฝ่ายป๋าทรัมป์ เมื่อเจอการกระชากผมจนหน้าหงาย วิกแทบหลุดขนาดนี้ก็กระทืบเท้าเร่าๆ ตามเคย ออกมาทวิตด่าสื่อรัวๆ ว่า
“ไอ้พวกสื่อตอแหลกับศัตรูของผมนี่แหละที่อยากให้ผมหยุดใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งช่องทางนี้แหละเป็นช่องทางเดียวที่ผมนำเสนอความจริงได้”
เดี๋ยวนะ..ลุง นำเสนอความจริงหรือลุงตะแบงแซงโค้งดริฟลงภูเขาไปจนสีข้างถลอกกันแน่ ดูท่าแล้วสีข้างลุงทรัมป์เลือดซิบๆ แบบแปะโคตรพลาสเตอร์เทนโซพลาสก็เอาไม่อยู่
หลังจากคะแนนนิยมของลุงทรัมป์ต่ำเตี้ยติดดิน และลุงไม่ทำงานอะไรเลย นอกจากกางปีกป้องครอบครัวกับทวิตด่าสื่อและแก้ตัวไปวันๆ แถมยังสร้างเรื่องป่วนโลกจนปั่นป่วนไปทั่ว บรรดาสมาชิกพรรครีพับลิกันของลุงทรัมป์เองเริ่มโบกมือลาลุงไปอย่างเงียบๆ แบบไม่แคร์
แม้ลุงจะแหกปากด่าทอขนาดไหนก็ตาม แถมบางคนยังหันมาแขวะลุงกลับอีกด้วยว่า
“เราทำงานเพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อประธานาธิบดี”
การวิจารณ์ทรัมป์อย่างรุนแรงที่สุดมาจากเจฟฟ์ เฟลค วุฒิสมาชิกแอริโซนาตอกหน้าทรัมป์ ที่มาจากพรรคเดียวกับตนว่าทำตัวไม่แตกต่างไปจากผู้นำเผด็จการ
เมื่อชาวบ้านและชาวโลกหันหลังให้ลุงทรัมป์กันเพียบ เรตติ้งการยอมรับผลงานหดเหลือแค่ 33% อันเป็นตัวเลขเดียวกับริชาร์ด นิกสันช่วงเกิดเหตุการณ์“วอเตอร์เกต”เลยทีเดียว เรื่องนี้ทำให้ลุงยืนเหม่อสไลด์ทวิตเตอร์อย่างใจลอย จากนั้นก็หันหน้าไปยิ้มหวานใส่บรรดาแฟนคลับ พลางหวังปลุกระดมฐานเสียงของตัวเองอีกครั้ง
มาตรการนี้เป็นเรื่องน่ากลัวมาก เพราะทรัมป์หนุนหลังตำรวจให้ปฏิบัติงานด้วยความรุนแรงเด็ดขาดแบบไม่ต้องเกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใดๆ แถมเป่าหูแฟนคลับตนด้วยเรื่องเดิมๆ คือ พุ่งเป้าไปที่ผู้อพยพมุสลิม เกย์ และกลุ่มเม็กซิกัน ด่านางฮิลลารี่ แล้วตบท้ายด้วยการอ้อนว่า การสอบสวนเรื่องรัสเซียเป็นการคุกคามทั้งต่อตัวเองและต่อพวกผู้สนับสนุนตน บอกตรงๆ เลยว่าเริ่มมาแนวปลุกผีเคเคเคหรือปลุกเร้าหน่วยเอสเอสของฮิตเลอร์นั่นแหละ
สภาพของท่านประธานาธิบดีอเมริกาตอนนี้ตรงกับคำว่า “หมาจนตรอก” อย่างแท้จริง ความดื้อและการไม่ยอมจำนนโดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ เช่นนี้แหละที่น่ากลัว โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจในมือ พลเมืองอเมริกันคงต้องหายใจไม่ค่อยทั่วท้องนัก เพราะไม่แน่ใจว่านาทีนี้ผุ้นำของตนจะพาชาติไปสู่ทิศทางใด
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี