1.
ปลาอยู่ในน้ำ แต่ผมก็ไม่ทราบว่าปลาจะมองเห็นน้ำหรือไม่...ส่วนคนนั้นคงมีไม่น้อย (ผมก็เคยเป็นด้วย) ที่แม้มีชีวิตแต่ก็มองไม่เห็นชีวิต แม้อยู่ในโลกก็มองไม่เห็นโลก จึงไม่รู้จักชีวิตและไม่รู้จักโลกอย่างที่มันเป็นจริง
นั่นคือมี “ความดี” และ “ความไม่ดี”
“ความทุกข์” และ “ความสุข” อยู่ในธรรมชาติ
ลองนึกถึงนกและสัตว์ปีกอื่นๆ มันทำรัง วางไข่ ฟักไข่ เมื่อมีลูกมันก็หาอาหารมาป้อน เฝ้าปกป้องผองภัยให้ลูก สอนให้บิน
ลองนึกถึงเต่าและสัตว์เลื้อยคลายทั้งหลาย...มันขุดหลุดฝังไข่ไว้ในที่ที่มันเห็นว่าปลอดภัย เพื่อลูกของมันจะได้กำเนิดมาและมีชีวิตสืบต่อไป
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมยิ่งเห็นชัด..ดูที่คนก็แล้วกัน เรามีลูกก็รักลูกไม่ต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น เลี้ยงดู ทะนุถนอม หาที่อยู่ที่กินเพื่อให้ลูกอยู่สุขสบาย ปกป้องดูแลปานแก้วตาดวงใจ พ่อแม่ล้วนยอมเหนื่อยยากบากบั่นเพื่อลูก และมีไม่น้อยที่ยอมตายเพื่อลูกได้
ทั้งหมดนี้คืออะไร?
ถ้าไม่ใช่ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต
ธรรมชาติที่เรียกว่า “ความรัก”
และความรักนั้นนำมาซึ่ง “หน้าที่” เป็นหน้าที่ของความรัก คือสรรหาหรือสร้างที่อยู่อาศัยอันอบอุ่นปลอดภัย นำมาซึ่งอาหาร การปกป้องผองภัย การฝึกสอนเพื่อให้มีชีวิตอยู่ในโลกได้ต่อไป
การทำหน้าที่ก็คือ “ความรับผิดชอบ” เป็นความรับผิดชอบของความรัก ไม่ใช่การถูกบังคับ หรือการจำใจ – จำยอม มันจึงเป็นความเมตตากรุณาที่มีอยู่ในชีวิตของสัตว์โลก
ทั้งหมดนี้คือ “ความดี” ตามกฎธรรมชาติ
ความดีในจิตใจคนนั้นเราเรียกมันว่า “มนุษยธรรม” (ซึ่งรวมเอา “ความรัก หน้าที่ ความรับผิดชอบ ความเมตตากรุณา” ทั้งหมดไว้เป็นเนื้อเดียวกัน)
นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆที่ผมเรียกว่า “ความดีตามกฎธรรมชาติ”
ยังมีความดีที่ดีกว่านี้ สูงส่งและมีคุณค่าแก่สัตว์โลกโดยเฉพาะคนอีกมาก ซึ่งหากรู้จักและใช้เป็นมันจะนำสภาวะปรกติสุขมาสู่คนและสังคมได้อย่างสันติวิธี
พระพุทธศาสนาบอกกล่าวเรื่องกฎธรรมชาติ และวิธีปฏิบัติตนตามกฎธรรมชาติ เพื่อให้ได้รับผลดีคือความสุข” ตั้งแต่ความสุขตามแบบปุถุชน คือศีล 5 กระทั่งถึงบรมสุขที่เรียกว่านิพพาน
ส่วนกฎที่มนุษย์มโนขึ้นเองนั้น (ลัทธิ อุดมการณ์ ความเชื่อ ต่างๆ นโยบาย กฎหมาย ระเบียบ แบบแผนฯลฯ) หากตรงกับกฎธรรมชาติก็เป็นผลดี แต่หากตรงกันข้ามก็ส่งผลเสีย ทั้งต่อคนและสังคม
2.
ทุกวันนี้ผู้คนไม่รู้จักกฎธรรมชาติกันนัก เพราะไม่สนใจ บ้างก็ไม่เชื่อว่ามีกฎธรรมชาติ และหากมีก็ไม่เห็นว่ามันจะเกี่ยวกับอะไรกับคน คนจึงตั้ง “กฎ” ขึ้นมาเอง
การตั้งกฎต่างๆเอาเองของคนทุกวันนี้ ส่วนมากนั้นส่งผลเสียแก่คนมากกว่าผลดี เพราะกฎนั้นถูกตั้งเอาตามจริตและความนึกคิดของคน และคนก็มีกิเลสตัณหา มีความเห็นแก่ตัว กฎที่ถูกตั้งขึ้นมานั้นจึงเกิดจากกิเลสตัณหาและความเห็นแก่ตัว แม้ว่าจะถูกอ้างว่า “เพื่อส่วนรวม” ก็ตาม
จึงไม่มียุคสมัยใด (อย่างน้อยก็ในชีวิตของผม) ที่ความชั่วร้ายจะได้รับการสนับสนุน ได้รับการต้อนรับเฉลิมฉลอง ได้รับการปกป้องและแก้ต่าง ถึงขนาดมีคนยอมตายถวายชีวิตเพื่อมัน
ยิ่งกว่านั้นก็คือ มีคนจำนวนมากไม่รู้จักความชั่วร้าย - มองไม่เห็นความชั่วร้าย บ้างก็เห็นว่าความชั่วร้ายเป็นสิ่งจำเป็น...ที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตและสังคมไปสู่ความยุติธรรมและความเป็นธรรม จึงมีคนไม่น้อยเกลียดชังความดีที่อยู่ในชื่อ “จริยธรรม คุณธรรม หรือศีลธรรม”
พวกเขาและหล่อนก่นด่าความดีดังกล่าว ว่ามันเป็น “ความดีของพวกจารีตนิยม” เป็นแค่ความดีของปัจเจกบุคคล เก่าคร่ำและล้าสมัยไปนานแล้ว
พวกเขาและหล่อนตะโกนก้องว่าความดีต้องมีอยู่เฉพาะในระบบเศรษฐกิจและการเมืองเท่านั้น ซึ่งบางพวกบอกว่าต้องเป็น “ลิเบอรัล” เพราะมันเป็นเรื่องของ “เอกภาพ ภราดรภาพ เสรีภาพ” มันเป็นเรื่อง “คุณค่าของความเป็นมนุษย์” นั่นแหละคือความดี
บางพวกบอกว่าต้องเป็น “คอมมิวนิสต์” เพราะมันเป็นเรื่องของความเท่าเทียมกันของมนุษย์ เป็นเรื่องความยุติธรรมและความเป็นธรรมแห่งสังคม นั่นคือความดีที่แท้
เมื่อ “นิยามหรือความหมาย” แห่งความดีแตกต่างกัน จึงนำมาซึ่งความแตกแยกครั้งใหญ่ และต่างก็คิดว่า “ความดีของตนและฝ่ายตน” นั้นถูกต้อง แก้เป็นหาชีวิตและสังคมได้จริงแท้
ผลที่ตามมาก็คือ ”ความดี”ได้กลายเป็นสิ่งสนับสนุนความชั่วร้าย เป็นข้ออ้างของความชั่วร้าย เป็นความชอบธรรมที่จะทำลายล้างความดีอื่น และทำให้คนจำนวนมากไม่รู้จักความดีอีกต่อไป
ผมจึงไม่แปลกใจ..ที่กว่า 2 ทศวรรษ สังคมไทยเอาแต่ก่นด่าเหยียดหยามความดีกัน จน “ความดีตามกฎธรรมชาติ” ถูกเหยียบย่ำจมดินไป และได้ความดีที่ “มโนกันเอาเอง” ขึ้นมาแทน
เราจึงทำลายลายล้างกันเรื่อยมาจนวันนี้
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี