ยิ่งใกล้วันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่คณะตุลาการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะขึ้นนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นจำเลย ก็ยิ่งมีการเคลื่อนไหวปลุกระดมมวลชนจากฟากฝั่งของนางสาวยิ่งลักษณ์หนักขึ้น
คดีนี้ไม่จำเป็นต้องสาธยายรายละเอียด เพราะเป็นข่าวที่มีคนพูดถึงเขียนถึงมากมายแล้ว
ประเด็นหลักมีเพียงแค่นางสาวยิ่งลักษณ์ถูกอัยการสูงสุดฟ้องฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 และฐานกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 เนื่องจากปล่อยปละละเลยไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตโกงกินกันอย่างมโหฬาร สร้างความเสียหายแก่ประเทศไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ทั้งที่ได้รับการเตือนจากหลายฝ่ายหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย พรรคฝ่ายค้านขณะนั้น หรือแม้แต่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตประธานคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์เอง
ต่อข้อกล่าวหาข้างต้น นางสาวยิ่งลักษณ์มิได้ต่อสู้ในประเด็นที่ตกเป็นจำเลยโดยตรง หากต่อสู้ในประเด็นที่ว่าตนไม่ได้ทุจริต และไม่มีส่วนรู้เห็นกับการทุจริตเนื่องจากตนคุมแต่นโยบายอยู่เบื้องบน ที่สำคัญยังระบุว่าคดีนี้เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองและตนเป็นเหยื่อเกมการเมืองที่ลึกซึ้ง อันทำให้มวลชนที่ถูกจัดระบบความคิดไว้เนิ่นนานแล้วว่าทักษิณกับคนในตระกูลชินวัตรถูกพวกอำนาจเก่ากลั่นแกล้ง ยิ่งออกมาแสดงอาการเห็นอกเห็นใจ โกรธแค้นชิงชังฝ่ายอำนาจรัฐ เป็นโอกาสให้พวกลิ่วล้อขี้ข้าทักษิณอาศัยความบริสุทธิ์และความจริงใจของมวลชนมาโหมไฟเคียดแค้นชิงชัง ปลุกระดมให้มวลชนเดินทางเข้ามาให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ที่หน้าศาล เบี่ยงเบนประเด็นจากคดีอาญาให้เป็นคดีการเมือง ซึ่งนอกจากจะเป็นการทำสงครามจิตวิทยาแล้ว ยังเป็นการเตรียมการที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการขอลี้ภัยในอนาคต
เราคงไม่คาดหวังให้นางสาวยิ่งลักษณ์ห้ามปรามมวลชนของตนเดินทางมาทำให้สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดที่หน้าศาล ทั้งที่เราควรคาดหวังในฐานะที่เธอเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ และในฐานะที่พี่เขยของเธอเพิ่งเอ่ยปากชมศาลแห่งนี้ที่วินิจฉัยยกฟ้องตนในคดีสลายการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ตน “ซาบซึ้งใจที่ความยุติธรรมยังมีอยู่” และ “มั่นใจว่าสถาบันตุลาการเป็นสถาบันที่เป็นที่พึ่งของประชาชนได้”
เราคงไม่คาดหวังให้พวกลิ่วล้อขี้ข้าทักษิณหยุดปลุกระดมมวลชนเดินทางเข้ามาหน้าศาล หรือบอกให้มวลชนของเขามาให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์อย่างสงบและเคารพในคำวินิจฉัยของศาล เพราะคนพวกนี้ไม่ได้เกิดมาเพื่อทำสิ่งดีๆ เหล่านั้น
และเราก็คงไม่คาดหวังให้มวลชนผู้บริสุทธิ์ที่เชื่อมั่นและศรัทธาในตัวทักษิณกับพรรคพวกของทักษิณ สามารถมองเห็นความชั่วร้ายของนโยบายการบริหารประเทศในระบอบทักษิณ จนกว่าพวกเขาจะยอมศึกษาและรับรู้ข้อมูลอีกด้านหนึ่งที่ไม่ได้กรอกผ่านมาจากฝ่ายทักษิณ
แต่กระนั้น เราก็ยังแอบหวังเล็กๆ ให้มวลชนผู้บริสุทธิ์ใจทั้งหลายเหล่านั้น หากมั่นใจว่าสิ่งที่ตนทำอยู่หรือกำลังจะทำต่อไป เป็นการกระทำที่ยึดถือผลประโยชน์ของประเทศอย่างแท้จริง มิใช่เพื่อผลประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง ลองฟังพระโอวาทของสมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันดู เป็นพระโอวาทที่ท่านประทานให้ พลตำรวจโทศานิตย์ มหถาวร และคณะแม่บ้านตำรวจ ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ที่เฝ้าถวายเทียนพรรษาและจตุปัจจัย แด่คณะสงฆ์วัดราชบพิธ เมื่อวันศุกร์ ที่ 7 กรกฎาคม 2560 เนื่องในเทศกาลเข้าพรรษา
ความตอนหนึ่งของพระโอวาทของเจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกมีว่า.........
"สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงอานิสงส์ไว้ ย่อมพบคำตอบได้ว่า การคำนึงถึงประโยชน์แห่งหมู่คณะยิ่งกว่าประโยชน์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใด ย่อมเป็นวิถีทางที่ถูกที่ควรในการประพฤติปฏิบัติตนของความเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดี.........
หากท่านทำกิจการงานทั้งปวง โดยมีเป้าหมายคือประโยชน์สุขของส่วนรวม กล่าวคือชาติไทยเป็นสำคัญ มิใช่เพื่อความสุข หรือประโยชน์จำเพาะ แก่พวกหนึ่งพวกใด หรือคนหนึ่งคนใดแล้ว การทำงานของท่าน ก็เสมอด้วยการประพฤติธรรม เพราะเท่ากับว่าท่านกำลังทำหน้าที่อยู่ด้วยกุศลเจตนา
'การให้' ไม่ว่าจะด้วยวัตถุสิ่งของ หรือประโยชน์เชิงนามธรรมจากการทำงานอย่างสุจริตของท่าน ก็ย่อมจัดเป็นคุณูปการสำหรับแผ่นดิน เป็นประโยชน์ค้ำจุนคนทั้งชาติร่วมกัน ในลักษณะที่เปรียบได้ดั่งสังฆทาน แต่ถ้าท่านทำงานโดยมุ่งประโยชน์ส่วนตนหรือประโยชน์ของพวกพ้องเฉพาะกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด แม้จะเป็นผลดีก็ตามที แต่ก็ไม่อาจอำนวยความสุขให้แก่มหาชนในวงกว้าง.........
ส่วนบุคคลใดทำการงานโดยไม่ซื่อสัตย์ โดยทุจริต เป็นอันธพาลที่ปลอมตัวมาในคราบของคนดีเสียแล้ว ก็ไม่ควรจะต้องพูดถึงกัน เพราะไม่ว่าเขาผู้นั้นจะหวังประโยชน์สำหรับใครๆ ก็ล้วนแต่เป็นบาป นำความตกต่ำเสื่อมถอยเป็นที่หมายได้ทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตหน้า บุคคลประเภทที่กล่าวสุดท้ายนี้ไม่ควรเป็นตำรวจ และไม่ควรจะเป็นสมาชิกในสังคมเสียเลยด้วยซ้ำ
การถวายสังฆทานของท่านในวันนี้ นอกจากจะได้อานิสงส์มาก เป็นบุญอันเลิศที่พระพุทธองค์ทรงสรรเสริญแล้ว จึงยังเตือนใจทุกท่านให้มีอุดมการณ์ เพื่อการทำงาน และการดำรงชีวิต โดยมุ่งถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์เฉพาะตน หรือเฉพาะบุคคลหนึ่งบุคคลใด ตามหลักการในพระพุทธศาสนา"
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษา ร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี