เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ อันเป็นเมืองเล็กๆ ในรัฐเวอร์จิเนียกลายเป็นหัวข้อที่คนทั้งโลกให้ความสนใจ แม้ว่าเหตุการณ์รุนแรงนั้นจะเกิดขึ้นมานานกว่าหนึ่งอาทิตย์แล้วก็ตาม
สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารในอเมริกา ขอเล่าคร่าวๆ คือ เมื่อวันที่ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา กลุ่มไลท์ซูพรีเมซิสต์ นีโอนาซี และคูคลักซ์แคลนถือคบเพลิง กระบอง และปืนเดินขบวนเข้าไปในมหาวิทยาลัยเวอร์จีเนีย เพื่อคัดค้านการรื้อรูปปั้นโรเบิร์ต อี. ลี ผู้นำกองกำลังสมาพันธรัฐซึ่งเป็นวีรบุรุษของฝ่ายใต้ในสงครามกลางเมืองอเมริกา สงสัยคงจะลืมไปแล้วว่านายพลลีคนนี้แหละที่อีโก้สูงจนทำให้กองทัพพ่ายแพ้แก่กองทัพทหารแยงกี้หรืออเมริกันฝ่ายเหนือเมื่อครั้งกระโน้น แต่ก็นั่นแหละ ตามขนบแบบชาวใต้ นายพลลีคนนี้ถือเป็นสุภาพบุรุษชาวใต้ขนานแท้ แม้จะแพ้แต่ยังได้รับการยกย่องเสมอ การย้ายอนุสาวรีย์พลเอก โรเบิร์ต อี. ลี ออกเป็นส่วนหนึ่งของพยายามเพื่อเปลี่ยนทัศนคติของคนภายนอกที่มีต่อเมือง ซึ่งเกี่ยวข้องกับทาสและสงครามเลิกทาสอเมริกา
อธิบายอีกหน่อยเผื่อหลายคนยังไม่ค่อยชัดเจนความแตกต่างของพวกกลุ่ม “คลั่งขาว” ทั้งสามกลุ่มในบ้านลุงแซม กลุ่มดั้งเดิมเลยคือกลุ่มที่เรียกว่า คู คลักซ์ แคลน (Ku Klux Klan - KKK) โดยก่อตั้งขึ้นในปี คศ. 1865 ผู้ก่อตั้งองค์กรแห่งความจงเกลียดจงชังนี้เป็นคนผิวขาวและมีสมาชิกในองค์กรส่วนมากกระจายตัวอยู่ทางใต้ของประเทศ กลุ่มนี้มีเเนวคิดเหยียดสีผิวเเบบสุดโต่งและมีจุดประสงค์เพื่อกําจัดคนผิวสี ยิว และคนที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิคให้หมดไปจากอเมริกา
ส่วนกลุ่ม White Supremacy นี่เหมือนแตกสาขามาจากกลุ่มสามเค เป็นกลุ่มที่เชื่อว่าเผ่าพันธุ์คนผิวขาวมีฐานะสูงส่งและเป็นเลิศกว่ากลุ่มเผ่าพันธุ์อื่นและมุ่งต่อต้านคนผิวสี พวกนี้ยกตัวเองว่าเป็นอัศวินขาว และหวงแหนเห่อเหิมไปกับความขาวของสีผิวตนอย่างเวอร์ๆ เพราะคิดว่าตัวเองดีกว่าคนสีผิวอื่น ทั้งที่ส่วนมากก็เป็นคนชั้นกลางลงไปถึงชนชั้นล่าง
กลุ่มที่สามนั้นมาไกล แต่มาแตกหน่อในอเมริกาจนหยั่งรากลึก กลุ่มนีโอนาซี สมาชิกกลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มคนผิวขาว มีความเชื่อที่ว่าคนผิวขาวเป็นใหญ่เหนือเผ่าพันธุ์อื่นๆ สืบมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของนาซี บ้าคลั่งภักดีต่อผีฮิตเลอร์ แล้วเหยียดเชื้อชาติต่างๆ เหยียดสีผิว เหยียดเกย์ เหยียดยิว สลาฟ รวมมาถึงคนเอเซีย ที่สำคัญคือนีโอนาซีมักจะโกนหัว แล้วสักเครื่องหมายสวัสดิกะตามตัว
ทั้งสามกลุ่มนี่ขอเรียกรวมกันง่ายๆว่าพวกคลั่งขาวก็แล้วกัน เพราะไม่ว่าจะมาจากกลุ่มไหน เรียกตัวเองไพเราะเพราะพริ้งเพียงใด จุดมุ่งหมายเหมือนกันเป๊ะคือ ขวาจัด เหยียดผิว และคลั่งขาว ทีนี้ เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นเพราะกลุ่มคลั่งขาวนี่แหละที่พากันเดินพาเหรดเข้าไปประท้วงไม่ยอมให้ย้ายรูปปั้นนายพลลีที่เคารพ อีกฝ่ายเลยยกพวกมาประท้วงพวกคลั่งขาว เพราะกลุ่มคลั่งขาวยกขบวนมาแบบน่ากลัว ในมือถือคบเพลิงมาแบบกลุ่มเคเคเคในอดีต แล้วเกิดผิดหูผิดใจจนถึงขั้นปะทะ
นีโอนาซีรายหนึ่งจากรัฐโอไฮโอ ชื่อ เจมส์ ฟิลด์ส อดีตทหารเกณฑ์วัย 20 ปีที่คลั่งไคล้ลัทธินาซีขับรถยนต์พุ่งเข้าใส่ผู้ประท้วงฝ่ายตรงข้าม จนทำให้ทนายความหญิงวัย 32 ปีคนหนึ่งเสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บอีก 19 คน แถมเฮลิเคอปเตอร์กำลังบินไปควบคุมสถานการณ์ตกในป่าเมืองชาร์ล็อตสวิลล์และเจ้าหน้าที่เสียชีวิต 2 คน ทำให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ประท้วงของกลุ่มไวท์เนชันแนลิสสต์รวมทั้งหมด 3 ราย จากนั้นผู้ว่าการรัฐก็ประกาศภาวะฉุกเฉินทันที
ทุกสายตาจ้องเขม็งไปที่ลุงทรัมป์ เพราะชาวโลกรู้กันทั่วว่ากลุ่มคลั่งขาวนี่แหละคือคะแนนเสียงหลักของลุงทรัมป์ แถมทรัมป์เองก็เหยียดผิวสุดโต่งอีกด้วย ชาวบ้านร้านถิ่นรุมด่าทรัมป์กันเสียงขรมถมเถในเรื่องนี้ อย่างนายกเทศมนตรีเมืองชาร์ล็อตสวิล ไมเคิล ซิงเนอร์ออกมาพูดอย่างไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนทั้งนั้นว่าขยะแขยงที่ทางกลุ่มชาตินิยมผิวขาวแห่เข้ามาก่อเรื่องอัปยศในเมืองแห่งนี้ ตบตูดด้วยการด่าทรัมป์ว่า เป็นผู้จุดไฟแห่งความเกลียดชังด้านสีผิว
“ลองนึกถึงตอนที่ทรัมป์หาเสียงดูสิ มีอยู่ 2 คำที่ถูกพูดถึงซ้ำๆ ซากๆ คือ ลัทธิก่อการร้ายในประเทศ (domestic terrorism) กับความสูงส่งของคนผิวขาว (white supremacy) และนี่คือสิ่งที่เราได้เห็นประจักษ์แก่ตาในช่วงสุดสัปดาห์นี้”
แทนที่ลุงทรัมป์จะออกมาประณามกลุ่มคลั่งขาวที่ก่อเรื่องถ่อยๆ แบบนี้ ลุงก็เอาแต่เงื้อง่าราคาแพง ไม่ยอมหลุดปากแขวะหรือด่าทอเหมือนที่ชอบทำอยู่เสมอ จนชาวโลกโห่ฮานั่นแหละ ลุงทรัมป์ถึงกระมิดกระเมี้ยนออกมาประณามแบบเสียไม่ได้ จนนักข่าวรายหนึ่งเหลืออด ตะโกนถามทรัมป์อย่างไม่ไว้หน้าว่า ท่านประธานาธิบดีตำหนิกลุ่มคลั่งขาวที่ก่อเหตุต่ำทรามครั้งนี้หรือยัง (วะ) ทรัมป์กลับไม่ยอมตอบคำถามนี้เอาดื้อๆ ชาวโลกจึงยิ่งด่าทอว่าทรัมป์ยังคงอุ้มกลุ่มคลั่งขาวอย่างเห็นได้ชัด ทำเนียบขาวรีบโผเข้ามาอุ้มตาทรัมป์ทันทีอย่างน่าหมั่นไส้เหมือนตาทรัมป์เป็นทารกยักษ์ที่ต้องประคบประหงมเอาใจอย่างถึงขนาด เมื่อถูกกดดันหนักเข้า ลุงทรัมป์ก็ออกมาสะบัดผมเป๋แล้วบอกว่า
“ลัทธิเหยียดผิวเป็นสิ่งชั่วร้าย ใครก็ตามที่ก่อความรุนแรงก็จัดเป็นอาชญากรและอันธพาล รวมถึงพวก KKK, นีโอนาซี, ไวท์ซูพรีเมซิสต์ และกลุ่มสร้างความเกลียดชังอื่นๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กับค่านิยมอเมริกัน”
ฟังดูเหมือนว่าจะดี แต่สายไปเสียแล้ว เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นตัวตนของโดนัลด์ ทรัมป์อย่างชัดแจ้งแดงแจ๋ ผลคือซีอีโอยักษ์ใหญ่ 3 บริษัทชื่อดังยื่นหนังสือลาออกจากสภาที่ปรึกษาอุตสาหกรรมอเมริกาเพราะไม่พอใจปฏิกิริยาของประธานาธิบดีทรัมป์ 3 บริษํทที่ว่านั้นคือ บริษัท อินเทล คอร์ป เมิร์ก แอนด์ โค อิงก์ และอันเดอร์ อาร์มอร์
ผู้ประท้วงราว 200 คนไปรวมตัวกันที่ด้านนอกทำเนียบขาวภายใต้สโลแกน “ปฏิเสธลัทธิเชิดชูผิวขาว” (Reject White Supremacy) ส่วนที่แมตฮัตตันมีประชาชนหลายพันคนไปชุมนุมที่ด้านนอกอาคารทรัมป์ทาวเวอร์บนถนนฟิฟธ์อเวนิว และร้องตะโกนว่า “ไม่เอาทรัมป์ ไม่เอา KKK ไม่เอาสหรัฐฯ ที่เป็นฟาสซิสต์”
ในขณะที่อเมริกาลุกเป็นไฟอยู่นี้ แทนที่ลุงทรัมป์จะหุบปากเงียบๆ แกกลับสาดน้ำมันลงไปในกองไฟอีกรอบด้วยการพลิกลิ้น วันก่อนทรัมป์ออกมาด่ากลุ่มเคเคเคและพวกนีโอนาซีแบบเฉพาะเจาะจงว่าเป็นพวกอาชญากรและอันธพาล พอพอวันรุ่งขึ้น ลุงทรัมป์ก็บิดลิ้นง่ายๆ ซะงั้น ด้วยการหันมาด่าฝ่ายซ้ายด้วยว่า เป็นต้นเหตุของความรุนแรงเหมือนกัน..อ้าว..เอากับแกซี้
ทิม เคน อดีตผู้สมัครรองประธานาธิบดีและ ส.ว.เดโมแครตจากรัฐเวอร์จิเนียยืนยันว่า “เหตุรุนแรงที่ชาร์ล็อตต์สวิลล์ถูกกระตุ้นโดยคนฝ่ายเดียว ซึ่งก็คือพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ที่พยายามเผยแพร่ลัทธิเหยียดผิว การไม่อดทนซึ่งกันและกัน และการข่มขู่คุกคาม ทั้งหมดนี้คือความจริง”
เจอการพลิกลิ้นของลุงทรัมป์เข้า ริชาร์ด ทรัมกา ประธานสหภาพแรงงาน AFL-CIO ถึงกับขอลาออกจากคณะที่ปรึกษาด้านธุรกิจของทรัมป์เป็นรายล่าสุดตามไปอีกคน นอกจากจะถูกมวลมหามะริกันด่ากระหน่ำแล้ว ผู้นำประเทศรอบโลกก็ช่วยกันรุมยำทรัมป์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ เยอรมัน ยูเอ็น แต่ที่ฮาสุดเห็นจะเป็นอิหร่านที่คงสะใจลึกๆ เพราะอิหร่านบอกว่า ก่อนที่อเมริกาจะไปยุ่งเรื่องประเทศอื่น ก็จัดการบ้านตัวเองให้เรียบร้อยก่อนเถอะวะ ลุงแซม แต่คงไม่มีวาทะใดที่ร้อนแรงไปกว่าวาทะของโอบาม่าอีกแล้ว เพราะยอดไลค์ท่วมท้นทวิตเตอร์เลยทีเดียว นั่นคือคำกล่าวที่ว่า
“ไม่มีใครถือกำเนิดมาพร้อมกับความเกลียดชังบุคคลอื่น เนื่องจากผิวสี ภูมิหลัง หรือศาสนา”
สื่อมวลชนและนักการเมืองทั้งสายเดโมแครตและรีพับลิกันต่างเงิบไปตามกันที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองการกระทำของคนทั่วไปกับพวกไวท์ซูพรีเมซิสต์ว่าเท่าเทียม กวาดสายตาไปรอบๆ เห็นว่ามีคนชื่นชมทรัมป์อยู่คนเดียวนั่นแหละคือ เดวิด ดยุค อดีตผู้นำกลุ่มคูคลักซ์แคลนที่ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ชื่นชมรัวๆ
อาทิตย์นี้พวกคลั่งขาวจะเคลื่อนขบวนไปประท้วงที่บอสตัน แต่กลายเป็นว่ามีผู้ต่อต้านกลุ่มคลั่งขาวไปรออยุ่แล้ว กลุ่มคลั่งขาวมีแค่หลักสิบ ส่วนผุ้ต่อต้านกลุ่มคลั่งขาวมีราว 40,000 คน ผู้ประท้วงต่อต้านการเหยียดผิวชุมนุมตะโกนคำขวัญ “ไม่เอานาซี ไม่เอาคูคลักซ์แคลน ไม่เอาฟาสซิสต์” ผู้ชายคนหนึ่งชูป้ายมีข้อความว่า “หยุดแกล้งทำเป็นว่าการเหยียดผิวคือการรักชาติเสียที” ขณะที่ร้านอาหารบางแห่งสัญญาจะบริจาคกำไรจากการขายในวันเสาร์ให้กลุ่มเคลื่อนไหวเอียงซ้าย บางร้านขึ้นป้ายงดให้บริการกลุ่มคลั่งขาว
Paul Krugman คอลัมนิสต์ชื่อดังของอเมริกาถึงกับเขียนบทความโดยใช้ชื่อหัวเรื่องว่า “คนบ้าในทำเนียบขาว” จากนั้นก็แจกแจงความเลวร้ายที่ทรัมป์ทำให้ประเทศตกต่ำอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน การที่มีประธานาธิบดีชื่อโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้กลุ่มคลั่งขาวทั้งสามกลุ่มที่ถูกทำให้อ่อนแรงลงในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ความเกลียดชังระหว่างสีผิวยังไม่เจือจางลงตามกาลเวลา หากแต่ตกตะกอนเพื่อรอเวลาที่จะกลับมาประทุอีกครั้ง อย่างที่ชาวโลกได้เห็นการปะทะอันน่าหวาดหวั่นในเมืองชาร์ล็อตต์สวิลล์ คงต้องรอดูกันต่อไปว่า “คนบ้าในทำเนียบขาว” จะคลายปมนี้อย่างไร แต่ที่แน่ๆ อีกไม่นาน ทรัมป์เองก็ต้องขึ้นเขียงว่าด้วยเรื่องการมีเอี่ยวกับรัสเซียช่วงเลือกตั้งที่ยิ่งขุดยิ่งเจอพิรุธ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี