การคิดถึงเพื่อนยุคนี้ไม่เพียงไม่รื่นรมย์ หากแต่ยังชวนเครียดอีกด้วย โดยเฉพาะเพื่อนที่มีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน ผมจึงหลบไปคิดถึงเพื่อนในวัยเด็กอยู่เสมอ
ผมคิดถึงเพื่อนที่เคยร่วมเรียนในชั้นประถม 5 เพราะมีความทรงจำที่สวยงาม นอกนั้นส่วนมากก็มีแต่ความทรงจำที่ชวนให้ทุกข์
ผมเรียนอยู่ชั้นประถม 5 ที่โรงเรียนบางเลน อ.บางเลน จ.นครปฐม ซึ่งเปิดเรียนตั้งแต่ชั้นประถม 5 – 7 แต่ผมเรียนได้เพียงปีเดียวก็ต้องย้ายเข้ามาอยู่กับพ่อแม่ในสลัมเมืองฟ้าอมร แถวตลาดห้วยขวาง (ที่ตอนนั้นยังไม่มีถนนรัชดาภิเษก) เพราะพ่อกับแม่ชิงขายที่นา 12 ไร่ริมแม่น้ำท่าจีนก่อนจะโดนเจ้าหนี้ยึด เพื่อให้พอมีเงินเหลือจากใช้หนี้บ้าง
แม้เรียนอยู่เพียงปีเดียวผมก็จดจำเพื่อนได้เกือบทุกคน ต่อมาก็ค่อยรางเลือนไปตามวันเวลาที่บ่อนเซาะความทรงจำ ผมจำ “สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ” ได้แม่นมาก เพราะเขาโดดเด่นกว่าใครในห้อง เขาเป็นเด็กในตลาดบางเลน ผิวพรรณขาวสะอาด แก้มใสผ่องจนเห็นเส้นเลือดฝอยชัดเจน ผมชอบขโมยหอมแก้มเขาบ่อย เขาอารมณ์ดี เป็นกันเองและสนุกสนานกับเพื่อนๆอย่างกลมกลืน ที่สำคัญเขาเรียนเก่งมาก สอบได้คะแนนอันดับ 1 ของห้องและของโรงเรียนทุกเทอม เขาเป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของครูและเพื่อน ในโรงเรียนเล็กๆแห่งนั้นไม่มีใครไม่รู้จัก “โต”
โตเข้าห้องสมุดทุกวันตอนพักเที่ยง และผมก็เจอเขาในห้องสมุดทุกวันเช่นกัน
ผมประทับใจเขามากที่..แค่วันแรกๆของเทอมแรกเขาก็อ่าน “สามก๊ก” แล้ว ผมอยากเก่งเหมือนเขาบ้างก็เลยหยิบสามก๊กมาอ่าน แต่ยิ่งอ่านก็ยิ่งสับสนกับชื่อตัวละครและจำไม่ได้สักตัว ผมพยายามอ่านอยู่สามสี่วันผมก็ยอมแพ้ หันไปอ่านนิยายภาพจักรๆวงศ์ๆแทน
แต่กระนั้นผมก็ยังอยากเก่งเหมือนเขา จึงหาหนังสือเล่มที่มีตัวหนังสืออย่างเดียวอ่านอีก แล้วก็พบเรื่อง “ฟิน็อกเชี่ยว” (เรื่องของหุ่นไม้ที่โกหกทีไรจมูกก็ยาวออกทุกที) ผมอ่านได้สามสี่หน้าก็เริ่มสนุก จากนั้นก็อ่านติดพันทุกวันตอนพักกลางวัน
ผมอ่านไม่ทันจบ โตก็บอกว่า “เราอ่านสามก๊กจบแล้ว”
ผมได้แต่ทึ่งกับอึ้ง
ต่อมาเขาอ่านมันจบถึง 3 จบภายในเทอมเดียว ขณะที่ผมใช้เวลานับเดือนกว่าจะอ่านฟิน็อกเชี่ยวจบ เขาหาหนังสืออื่นๆอ่านต่อ ผมก็ค้นหาหนังสือที่ตัวเองพอจะอ่านรู้เรื่อง แต่อ่านกี่เล่มก็ไม่รู้เรื่อง บ้างก็ไม่น่าสนใจ สุดท้ายผมก็กลับไปอ่านหนังสือนิยายภาพเรื่องเดิมๆอีก
อีกคนหนึ่งที่ภาพของเขารางเลือนไปแล้ว แต่ได้พบกันอีกในเฟซบุ๊คเมื่อห้าปีก่อน ผมเคยเห็นชื่อเขาก็รู้สึกคุ้นเคยมากในหนังสือพิมพ์ค่ายสยามรัฐมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ฉุกคิดว่าจะเป็นเพื่อนเรียนกันมาก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งเขาบอกในเฟซบุ๊คว่าเขาคือ “แสนไชย เค้าภูไท” คนที่เคยเป็นเพื่อนเรียนในชั้นประถม 5 ผมจึงนึกขึ้นได้ แล้วผมก็ย้อนนึกถึงรูปร่างหน้าตาของเขาในวัยเด็ก แต่ก็นึกไม่ออก จำได้แต่ว่าเขาเป็น “เด็กตลาดรางกระทุ่ม”
ตลาดที่ว่านี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียน แต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองหลายกิโลเมตร ตอนนั้นพอรู้ว่าเขาอยู่ตลาดรางกระทุ่ม ผมก็เข้าใจเอาว่าครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของตลาด รวยโคตร เขาขับเรือมาโรงเรียนทุกวัน ขณะที่คนอื่นๆพายเรือลำเล็กๆมา รวมทั้งผมซึ่งก็อยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนแต่เลยขึ้นไปทางเหนือด้วย
ทุกวันนี้เมื่อผมคิดถึงเพื่อนเหล่านี้ผมก็มักจะคิดว่า โตขับเบนซ์ S – Class 500 รุ่นสองล้อถีบมาโรงเรียน ส่วนแสนไชยขับเรือยอร์ช ที่ใช้เครื่องยนต์สองสูบหางยาวเป็นวา เสียงดังแต๊กๆล่องมาตามลำคลองแล้วตัดแม่น้ำข้ามมาโรงเรียน ส่วนผมก็พายเรืออีแปะมาโรงเรียนบ้าง ให้พ่อหรือพี่สาวพายไปส่งฝั่งตรงข้ามบ้านบ้าง จากนั้นก็เดินเลาะหลังหมู่บ้านที่ขนานไปกับแม่น้ำอย่างพะวักพะวนด้วยกลัวหมาจะกัด บางครั้งก็ใช้ท่อนกล้วยทำเป็นแพเล็กๆพายข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม แต่แค่สองครั้งก็ทนกับความกลัวไอ้เข้ในจินตนาการไม่ไหว...ที่จริงกล้วยท่อนเดียวผมก็สามารถลอยคอไปถึงโรงเรียนได้ แต่ก็กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นในน้ำ
วันที่ผมจากเพื่อนๆและโรงเรียนมา ผมแทบไม่ได้บอกเพื่อนเลย พอเปิดเทอมผมก็มาเรียนอยู่ที่โรงเรียนประชาราษฏร์อุปถัมภ์ ห้วยขวาง ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อไปแล้ว ส่วนเพื่อนๆก็แค่รับรู้ว่าผมหายไป
ประมาณปี 2530 ขณะที่ผมออกร้านขายหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โตก็เข้าไปทัก ผมดีใจที่ได้พบเขา เรานั่งคุยกันอยู่ครู่ใหญ่ เขาบอกว่ากำลังจะไปทำงานที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จากนั้นในปี 2539 เขาชวนผมไปกินข้าวที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่น และกำลังจะไปเรียนปริญญาเอกที่ยุโรป
เขาเรียนจบกลับมาเมื่อไหร่ผมไม่ทราบ แต่ตอนที่การเมืองกำลังแรง(ยุคพันธมิตรฯ) เขาเป็นนายประกันให้กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งโดนคดีการเมือง และบังเอิญผมโทร.หาเขาพอดีในช่วงนั้น เขาบอกว่ากำลังขับรถส่งลูกสาวไปโรงเรียน และพูดถึงการเป็นผู้ประกันให้กับผู้หญิงคนนั้นว่า ทำให้ญาติของเขาไม่พอใจ ผมให้กำลังใจเขาในฐานะเพื่อน
กับแสนไชย เราสื่อสารกันทางเฟซบุ๊คแทบทุกวัน ส่วนมากก็หยอกล้อกันตามประสาเพื่อน มาเมื่อสองปีก่อนเขาไปเที่ยวที่เชียงใหม่ ขากลับกรุงเทพฯเขาได้นัดเจอกับผม เพราะผมอยู่ที่กำแพงเพชร เราพบกันในร้านกาแฟสักครึ่งชั่วโมงก็ลาจากกัน
ผมพบโตอีกครั้งที่สำนักงานมูลนิธิสิ่งแวดล้อมของ ดร. พิจิตต รัตตกุล ตอนนั้นผมชวนเขาไปร่วมประชุมเรื่องนโยบายของพรรคการเมือง พอเจอหน้าผมเขาก็บอกว่า “ผมอ่านหนังสือของวิมลแล้วรู้เลยว่าคุณคิดอะไร”
แน่นอน ผมก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคิดอะไร เพราะหนังสือเล่มนั้น “วิญญาณแห่งสายลมพัดพาฉันมา” มีข้อความบางตอนที่ขัดกับอุดมการณ์ของเขา แต่ผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนจะมีความเห็นแตกต่างกัน พอประชุมเสร็จผมชวนเขาไปกินข้าว เขาปฏิเสธ บอกว่ามีธุระ
จากวันนั้นเราไม่ได้พบกันอีก แต่ได้พบกันในเฟซบุ๊ค ซึ่งต่างก็ไม่คอมเม็นต์กัน เพราะความคิดทางการเมืองแตกต่างกันไปแล้ว กระทั่งตอนที่ผมวิวาทะกับ “วัฒน์ วรรลยางกูร” เรื่อง “มนุษยธรรม” ซึ่งวัฒน์ไม่พอใจพวกนักเขียนและกวีที่เฉยเมยเรื่องคนเสื้อแดงโดนรัฐบาลปราบและถูกยิงตาย เขาจึงคิดว่าคนพวกนี้ไม่มีมนุษยธรรม ผมเขียนแสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊ค และต่อมาก็โต้กับเขาแบบสดในคอมเม็นต์ ที่สรุปได้ว่า “มนุษยธรรม” ต้องไม่เลือกฝ่าย ไม่เลือกข้าง เพราะมันเป็นเรื่องสากลของจิตใจมนุษย์ รวมทั้งเรื่องปลีกย่อยอื่นๆ
โตเข้ามาคอมเม็นต์ (เช่นเดียวกับพวกของวัฒน์) อย่างรักษาน้ำใจว่า “วิมลไปใหญ่แล้ว”
ผมตอบไปว่า “ผมอยากไปให้ไกลกว่าเรื่องพวกนี้”
ความหมายของผมก็คือ ผมไม่เอาด้วยที่เรายังวนเวียนแบ่งฝ่ายเข่นฆ่าทำลายล้างกันในนามของความยุติธรรม – ความเป็นธรรมมาทุกยุคทุกสมัย รวมทั้งเรื่อง “มนุษยธรรมแบบเลือกฝ่าย” ของวัฒน์ด้วย
ผมรับไม่ได้ที่ใครจะสร้างความยุติธรรม – ความเป็นธรรมด้วยการเข่นฆ่าทำลายล้างคนอื่น – ฝ่ายอื่น...อย่างน้อยผมก็กลับมาสู่มนุษยธรรมที่ไม่มีการเลือกข้างเลือกฝ่ายดีกว่า
กลับมาสู่รากฐานของชีวิตคือสิ่งที่เรียกว่า “พรหมวิหาร 4” ที่ไม่ต้องเข่นฆ่าทำลายล้างกัน จากนั้นก็ “แปร” ออกไปสู่เรื่องเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม การศึกษาต่อไป...ผมไม่ได้พูดเรื่องนี้ เพราะแค่วิวาทะกันเรื่องเดียวก็มากพอที่ผมจะกลายเป็นพวกอนุรักษนิยมไปแล้ว ซึ่งผมยินดีด้วยความจริงใจ แม้คำนี้จะมีน้ำเสียงดูถูกเหยียดหยามก็ตาม
ส่วนแสนไชยเคยคอมเม็นต์ผมและโตว่า “วิมลอยู่กับโลกที่เป็นจริง แต่โตเขายึดมั่นในทฤษฎี”
ผมเห็นว่าโตจริงใจกับตัวเองมาก..ที่ประกาศตนว่าเป็น “เหมาอิสต์” ซึ่งผมก็เห็นว่าเป็นพวกอนุรักษนิยมเหมือนกัน แต่คนละขั้ว
ทุกวันนี้โตหลบ คสช. ไปอยู่ต่างประเทศ (เขาเป็นแกนนำคนเสื้อแดง)
แสนไชยยังไม่ค่อยอยู่บ้าน เพราะงานในหน้าที่นักหนังสือพิมพ์ ผมเห็นเขาโพสต์ไปที่นั่น ที่โน่น และที่โน้น จนผมอิจฉา โดยเฉพาะเขาได้ขึ้นเครื่องบินด้วย
ผมยังคงเขียนนั่น เขียนนี่ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แกว่งเท้าหาเสี้ยน แกว่งปากหาตีนอยู่แทบทุกวันในเฟซบุ๊ค แต่ก็หวังว่าสักวันจะมีแรงพอที่จะเขียนอะไรที่ยาวกว่าที่เคยเขียนมา และมักจะคิดถึงเพื่อนในวัยเยาว์อยู่แทบทุกวัน
คิดถึงเพื่อนที่เคยเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน ฟุตบอลเก่าคร่ำลูกเดียวเราก็แย่งกันไล่แตะฝุ่นตลบ แข่งกันทำความสะอาดห้องเรียน พูดคุยกันอย่างเป็นมิตรแม้กับนักเรียนห้องอื่นที่เราไม่รู้จัก ทำแปลงเกษตรด้วยกัน และปลูกแต่ผักบุ้งจีนเหมือนกันแทบทุกแปลง
โลกนั้นสดใสรื่นรมย์ อบร่ำด้วยความรักใคร่ มีไมตรีต่อกัน มันเป็นโลกที่อ่อนโยนอบอุ่น นั่นเพราะมันเป็นโลกที่ไม่มีการเมือง.
(ขออภัยเพื่อนทั้งสองคนที่เขียนถึงโดยไม่ขออนุญาต)
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี