คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม ที่ให้ บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด
กับจำเลยรวม 7 ราย จ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายแก่ชาวบ้าน “ห้วยคลิตี้ล่าง”ล่างทั้ง 151 คน เป็นเงินกว่า 36 ล้านบาท
พร้อมฟื้นฟูลำห้วยคลิตี้ให้กลับมาใช้ได้ดังเดิมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2560 นับเป็นการปิดฉากการต่อสู้ทาง
กฎหมายอันยาวนานของชาติพันธุ์กระเหรี่ยงกลุ่มเล็กๆ ที่อาศัยอยู่บริเวณลำ “ห้วยคลิตี้ล่าง” อำเภอทองผาภูมิ
จังหวัดกาญจนบุรี และนับเป็นคดีแรกที่ฟ้องตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม
แห่งชาติ พ.ศ.2535 ซึ่งต้องต่อสู้กันถึง 3 ศาล
ปฐมบทแห่งการต่อสู้ของคนเล็กๆ กลุ่มนี้ เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2541 หรือเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว เมื่อ
ชาวบ้านเริ่มสงสัยว่าน ใน“ลำห้วยคลิตี้ล่าง”ที่ตนอาศัยทั้งบริโภคและอุปโภคมีปัญหา เนื่องจากมีกลิ่นเหม็น
ประกอบกับสัตว์เลี้ยง เช่น วัวควายและเป็ดล้มตาย ชาวบ้านจึงไปยื่นเรื่องให้ทางอำเภอเข้ามาช่วยทำความ
สะอาดลำห้วยและหาต้นตอที่ทำให้น้ำในลำห้วยเกิดมลพิษ
คำตอบที่ได้จากทางอำเภอวันนั้นคือ ชาวบ้านต้องช่วยเหลือตัวเอง อำเภอทำได้เพียงให้งบประมาณ
ชาวบ้านมาท าน้ำประปาภูเขาใช้เพื่อจะได้ไม่ต้องพึ่งน้ำจากลำห้วย ชาวบ้าน“ห้วยคลิตี้ล่าง” จึงดิ้นรนขอความ
ช่วยเหลือจากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ รวมทั้งขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง ท่ามกลางการเจ็บป่วย พิการ และ
เสียชีวิตไปทีละคนสองคนของพวกเขาที่ล้วนมีสารตะกั่วในเลือดสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทยทั่วไป
จากการบอกเล่าของชาวบ้านระบุว่า เมื่อเกิดเรื่องครั้งแรก บริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศ
ไทย) จำกัด มีท่าทีจะรับผิดชอบ ยอมฟื้นฟูลำห้วยที่มีสารตะกั่วปนเปื้อนจากโรงแต่งแร่ของตน แต่ต่อมาเมื่อ
เวลาผ่านไป บริษัทก็ปฏิเสธที่จะรับผิดชอบในสิ่งเหล่านั้น
ในคำให้การต่อศาล บริษัทอ้างว่าการรั่วไหลของสารตะกั่วจากโรงแต่งแร่เป็นเหตุสุดวิสัย บริษัทไม่
จำเป็นต้องรับผิดชอบ ทั้งศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาในประเด็นของการฟื้นฟูลำห้วยว่า พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษา
คุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ไม่ได้บัญญัติให้ประชาชนทั่วไปเป็นผู้เสียหายที่มีอำนาจฟ้องขอให้
บังคับเอกชนผู้ก่อมลพิษดำเนินการแก้ไขฟื้นฟูลำห้วยได้โดยตรง
กระทั่งเมื่อชาวบ้านฎีกาในประเด็นสิทธิของชาวบ้านในการฟ้องร้องให้กับชุมชนที่ตนอยู่ และขอให้ศาลสั่งให้เอกชนผู้ก่อมลพิษทำการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ปนเปื้อน อันเป็นประเด็นสำคัญที่ศาลฎีกาวินิจฉัยกลับให้บริษัทต้องรับผิดชอบในการฟื้นฟูลำห้วย ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมเมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา
การที่ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมมีคำพิพากษาให้บริษัทและผู้บริหารที่เกี่ยวข้องต้องมาร่วมรับผิดชอบ รวมทั้งต้องเข้ามาฟื้นฟูลำ “ห้วยคลิตี้ล่าง”ที่ปนเปื้อนสารตะกั่วครั้งนี้ นับเป็นส่วนหนึ่งในการพิสูจน์
บทบาทของกระบวนการยุติธรรมด้านสิ่งแวดล้อมของไทย ในการเยียวยาความทุกข์ของชาวบ้าน และความ
เสียหายต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้รับความเป็นธรรม ด้วยการประกันสิทธิ์ของชุมชนที่ได้รับความเสียหายทางด้านสิ่งแวดล้อม ให้สามารถเรียกร้องให้ฝ่ายที่เป็นผู้กระทำการปนเปื้อนนั้นต้องรับผิดชอบขจัดการปนเปื้อนและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับคดีปกครองที่ชาวบ้าน “ห้วยคลิตี้ล่าง” 22 คน ฟ้องกรมควบคุมมลพิษฐานละเลยล่าช้าในการปฏิบัติหน้าที่ฟื้นฟูขจัดมลพิษในลำ “ห้วยคลิตี้ล่าง”และคดีแพ่งที่“ห้วยคลิตี้ล่าง” 8 คน ฟ้องบริษัท ตะกั่วคอนเซนเตรทส์ (ประเทศไทย) จำกัด กับพวกรวม 2 คน ให้ชดใช้ค่าเสียหายและฟื้นฟูลำห้วย ซึ่งมีคำพิพากษาถึงที่สุดไปแล้วก่อนหน้านี้ทั้ง 2 คดีให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะ
ชัยชนะจากการต่อสู้ของ “ชาวบ้านห้วยคลิตี้ล่าง”ล่างดังกล่าว แม้เป็นชัยชนะของชาติพันธุ์กลุ่มเล็กๆ ในผืนป่าที่คน
ภายนอกไม่มากนักเคยเข้าไปสัมผัส แต่เป็นชัยชนะที่ส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อชาติพันธุ์ใหญ่น้อยทั้งหมดที่
อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ในส่วนที่ต้องเผชิญปัญหามลพิษและผลกระทบอันตนมิได้ก่อ ไม่ว่าจะเป็นกรณี
การลอบทิ้งกากสารเคมีที่จังหวัดฉะเชิงเทรา กรณีเหมืองทองที่จังหวัดพิจิตร กรณีเหมืองทองที่อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย
รวมทั้งกรณีการฉีดพ่นสารเคมีในการทำเกษตรพันธะสัญญาบนภูดอยที่ไปส่งผลให้อากาศและแหล่งน้ำอันบริสุทธิ์ ตลอดจนแปลงพืชผักอินทรีย์ที่นั่นต้องถูกปนเปื้อนด้วยสารเคมีเป็นพิษสุดท้ายสำหรับชาวบ้าน “ห้วยคลิตี้ล่าง” แม้ศาลฎีกาจะมีคำตัดสินออกมาแล้วให้ชาวบ้านเป็นฝ่ายชนะ
แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าลำ “ห้วยคลิตี้ล่าง”จะได้รับการฟื้นฟูกลับมาดังเดิม เพราะก่อนหน้านี้ก็มีคำพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดในคดีที่ชาวบ้าน 22 คนฟ้องกรมควบคุมมลพิษ ออกมาแล้วตั้งแต่10 มกราคม 2556 ให้
กรมควบคุมมลพิษฟื้นฟูลำ “ห้วยคลิตี้ล่าง” เพื่อให้กลับสู่สภาพเดิม
แต่จนทุกวันนี้กระบวนการฟื้นฟูอย่างแท้จริงดูเหมือนจะยังไม่เคยเริ่มต้นขึ้น!
ไม่ต้องพูดถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมดั้งเดิมของ “ชาวบ้านห้วยคลิตี้ล่าง”ที่แปรเปลี่ยนไปจนไม่อาจฟื้นฟูกลับคืนมาได้ จากวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรมเพื่อการยังชีพที่ผูกพันอยู่กับสายน้ำ
สู่วิถีชีวิตที่สูญเสียทั้งแหล่งน้ำและแหล่งอาหาร ต้องพึ่งพาภายนอก และต้องหาเงินเพื่อการยังชีพมากขึ้น
ณรงค์ฤทธิ์ ศรีรัตโนภาส
สำนักที่ปรึกษาร้อยชักสาม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี