ไม่ว่าฝนจะตกฟ้าจะร้อง ไพร่ฟ้าจะหน้าหมองหรือเศรษฐีจะหน้าบาน การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT)เป็น 8 เปอร์เซ็นต์ก็ต้องเกิด มันเป็น “มือที่มองเห็น” ที่เข้ามาฉกเงินในกระเป๋าของพลเมืองทุกคนอย่างไม่เลือกฐานะทางเศรษฐกิจ
ในสมัยรัฐบาลของระบอบทักษิณก็มีความพยายามจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่มีเสียงคัดค้าน ประกอบกับมีปัญหาเรื่องการต่อต้านรัฐบาล เรื่องจึงเงียบไป
เมื่อต้นปี พล.อ. ประยุทธ์ก็ออกมา “เขวี้ยงหินใส่หัวพลเมือง” ครั้งหนึ่งแล้ว ว่าถ้าเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 1 เปอร์เซ็นต์จะเจ็บหัวไหม ซึ่งก็มีเสียงคัดค้านโอดโอยอย่างเดิม จากนั้นเรื่องก็เงียบไป
แม้เรื่องเงียบก็ไม่ได้หมายความว่าความคิดเรื่องการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะยุติ เพียงแต่รอเวลาอันสมควรก่อน ขณะเดียวกันก็หันไปขึ้นภาษีเหล้ายาปลาปิ้งอีกครั้ง
แต่วันนี้ใกล้ถึงวันสิ้นปีงบประมาณ และกำหนดเวลาเรื่องการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ก็หมดไปด้วย ปีงบประมาณใหม่จะมีการเพิ่มภาษีอีก 1 เปอร์เซ็นต์ ยกเว้นแต่ว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนใจและยืดเวลาออกไปอีก
แต่เท่าที่ฟังเสียงบ่นของนายกรัฐมนตรีมาตลอดทั้งปี ว่าเงินไม่พอใช้ เพราะ “โครงการประชารัฐ” ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ก็เข้าใจได้ว่ารัฐบาลจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มแน่
เพิ่มอีก 1 เปอร์เซ็นต์ รัฐก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาท
ถามว่ารัฐบาลจำเป็นต้องขึ้นภาษีไหม?
คำตอบของรัฐบาลก็แน่อยู่แล้วว่า “จำเป็น” ไม่งั้นจะขึ้นทำไม!
คำถามต่อมาคือ ทำไมไม่ขึ้นภาษีอย่างอื่น เช่นภาษีมรดก ภาษีที่ดิน ภาษีสัมปทาน ฯลฯ ก็ตอบว่าขึ้นมาแล้วทั้งนั้น และถ้าจะขึ้นอีกก็ต้องเจอแรงต้านจากกลุ่มผลประโยชน์ใกล้ตัว คือพวกมหาเศรษฐี – อภิเศรษฐีทั้งหลาย
การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่พลเมืองที่มีฐานะหลากหลาย โดยเฉพาะคนมีรายได้น้อย เรื่องนี้มีนักวิชาการทั้งในและต่างประเทศทำวิจัยไว้นับสิบๆปีแล้ว และพวกเขาก็เสนอให้จัดทำ “ระบบภาษีแบบอัตราก้าวหน้า” แทน
พูดกันตามตรง เอาแค่สามัญสำนึกก็รู้แล้วว่า การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจะทำให้คนมีรายได้น้อยลำบากกว่าคนมีรายได้มาก... เงินร้อยบาทของคนจนกับคนรวยหรือพวกมหาเศรษฐีนั้นต่างกันนัก
แต่กระนั้นทุกรัฐบาลก็สนใจแต่จะเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะมันง่ายดี ไม่มีแรงต่อต้านอะไรนัก โดนชาวบ้านบ่นบ้างด่าบ้างเดี๋ยวก็ลืมกันไปเอง
ผมจึงไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างน้อยก็ในเวลานี้ ซึ่งพลเมืองทั่วไปก็มีรายได้ฝืดเคืองอยู่แล้ว ถ้าหากรัฐบาลต้องการมีเงินใช้จ่ายมากกว่านี้ก็ควรจัดเก็บภาษีอย่างอื่น
ประกาสำคัญ คือ จัดเก็บภาษีให้ทั่วถึง ทุกวันนี้มีผู้เลี่ยงภาษีต่างๆมากมาย โดยเฉพาะภาษีร้านค้าต่างๆ และตามบริษัท ซึ่งมี 2 บัญชี
ประการต่อมา ซึ่งก็เคยเขียนมาแล้วว่า คือลดการคอรัปชั่นให้ได้ กำจัดคงไม่มีทางทำได้ แต่ดูเหมือนทุกรัฐบาลไม่สนใจนัก ได้แต่ป่าวประกาศขึงขังไปอย่างนั้น เพราะตัวเองก็มีแผลเหวอะหวะ ยิ่งนักเลือกตั้งส่วนมากยิ่งไม่ต้องหวัง พวกข้าราชการก็ไม่น้อยหน้า ในกองทัพก็เช่นกัน ยกเว้นแต่ใครจะโง่จนจำนนด้วยหลักฐานเท่านั้น
นอกจากนี้ ก็ควรเกลี่ยข้าราชการและพนักงานของของรัฐให้พอเหมาะพอสมกับงาน ที่เกินจำเป็นก็จ้างออก หรือ “สอบคัดเลือกออก” (แถมเงินบำเหน็จบำนาญด้วย) จะได้ลดภาษีลงได้อีก
เพราะตัวเลขที่ผมเห็นล่าสุดบอกว่า งบประมาณแผ่นดินทั้งหมดนั้นต้องจ่ายให้ข้าราชการและพนักงานของรัฐ (เป็นเงินเดือน สวัสดิการ ดูงาน เบี้ยเลี้ยง ฯลฯ) ไปแล้ว 72 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจึงนำไปพัฒนาประเทศ
ถ้าทำทั้งหมดที่ผมกล่าวมาได้ ก็จะมีเงินเพิ่มขึ้นพอๆกับที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ ( 1 แสนล้าน)
คำถามถึงรัฐบาลคณะนี้ก็คือ มีความจำเป็นเร่งด่วนอะไรนักหนาถึงจะต้องทำโครงการขนาดต่างๆมากมาย ใจคอจะไม่เหลืออะไรไว้ให้รัฐบาลต่อไปทำบ้างเลยหรือ?
ผมเข้าใจดีกับคำว่า “โอกาส” ที่จะลงทุนในตอนนี้ แต่นั่นมันเป็น “โอกาสในการลงทุน” แม้จะมีผลกระทบในทางที่เป็นประโยชน์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ “โอกาสของพลเมือง” ในประเทศนี้ล่ะเคยคิดถึงบ้างไหม?
โอกาสที่พลเมืองจะได้ดำเนินชีวิตที่ไม่แร้นแค้นฝืดเคืองนัก ท่ามกลางสภาพที่เงินหายาก แต่จ่ายง่าย (แม้รัฐบาลจะบอกว่าเศรษฐกิจกำลังขยายตัวดีขึ้นก็ตาม)
จะพัฒนาประเทศก็ขอให้มันสมดุลยกับสภาพเศรษฐกิจของพลเมืองด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะมีแต่สิ่งอำนวยความสะดวกใหญ่โตหรูหรา แต่พลเมืองยากจน
มันจะเป็นการพัฒนาที่ยับเยิน
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี