แค่ “ความคิด” ก็เป็น “ฉนวน” ปิดกั้นปกปิดเราไม่ให้เขาถึงสัจธรรมแล้ว ยิ่งความคิดที่เป็น “ความเชื่อ” ต่อเรื่องราวต่างๆ ต่อลัทธิ อุดมการณ์ ต่อตำรา ต่อทฤษฎีด้วยแล้วก็ยิ่งเป็น “กำแพง” อีกชั้นที่ปิดกั้นเราให้อยู่ในคุกมืดไปเลย แม้เราจะเชื่อหรือเข้าใจว่า เรื่องราวต่างๆ ลัทธิ อุดมการณ์ ตำรา และทฤษฎีที่เราเชื่อถือนั้นเป็น “สัจธรรม” ก็ตาม
ยิ่งเราพยายามจะให้คนอื่นเชื่อตามเรา หรือให้ยอมจำนนหรือเพียรกวาดต้อนคนอื่นๆให้เข้า “ภายในกำแพงแห่งความเชื่อ” ของเราด้วยแล้ว ก็ยิ่งบ่มเพาะความรุนแรงในจิตใจและความเครียดในชีวิตเราเพิ่มขึ้นอีก
ซ้ำยังทำให้เรากลายเป็นคนไร้สัจจะ เพราะเราต้องโฆษณาชวนเชื่อ ปั้นเรื่อง บิดเบือน แถไถ ฯลฯ แม้กระทั่งก่นด่า เข่นฆ่าทำลายล้างทุกรูปแบบ เพื่อเอาชนะคนอื่นที่เชื่อต่างกับเรา
สุดท้ายความเชื่อก็ทำลายชีวิตเราเอง ทำลายคนอื่น และทำลายโลกที่มีชีวิตอยู่ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ความเครียดจาก “ความคิด – ความเชื่อ” นั้นกัดกร่อนชีวิตเรา ทำลายล้างชีวิตเราก่อนคนอื่นด้วยซ้ำ เพราะมันเกิดในตัวเราก่อน ทางการแพทย์ยืนยันว่า แค่ “ความเครียดทั่วไป” ก็เป็นเหตุให้คนเจ็บปวดด้วยโรคทางกายและทางใจทุกโรคแล้ว
โรคทางกายนั้น ดร. เวอร์นอน คอลแมน บอกว่า “ทุกโรคมีสาเหตุมาจากความเครียด” อย่าง ปวดศีรษะ โรคกระเพาะ โรคความดันโลหิต โรคไขมันในเลือด โรคหืดหอบ ไม่เว้นแม้แต่โรคมะเร็ง
โรคทางใจนั้นก็ได้แก่ โรคประสาท โรคจิต
ทั้งนี้ก็เพราะความเครียดนั้น "ทำลายกระบวนการปรกติในชีวิต" เรา ระบบต่างๆทุกระบบ กระทั่งเซลล์ถูกกระทำให้ทำงานผิดปรกติ ส่งผลให้ภูมิต้านทานในร่างกาเราต่ำ ผลสุดท้ายก็คือ เราแก่ง่ายตายเร็ว
หลายปีมานี้ “ชีวิตสังคม” ของเราเครียดมาก เพราะเรื่องการเมืองแบบแบ่งข้างแบ่งฝ่ายทำลายล้างกัน แล้วความเครียดนั้นก็ส่งผลมาสู่ชีวิตของคนแต่ละคน ความเครียดของแต่ละคนก็ส่งผลกับไปให้สังคมเครียดมากขึ้นอีก สังคมเครียดก็ส่งผลมาถึงแต่ละคนอีกชั้น ทบไปทบมาจนกว่าจะถึงจุดวิกฤติ ซึ่งถึงตอนนั้น ถ้าไม่ตัวใครตัวมันก็เข้าเข่นฆ่ากันเพื่อบำบัดความเครียด
โดยอ้างอุดมการณ์!
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เราก็เห็นผู้คนมากมาย “ถูกฆ่าตายด้วยความเครียด” ไปก่อนวัยอันสมควรเหมือนใบไม้ร่วงตลอดมา
ผมเห็นผู้คนในโลกออนไลน์ล้วนสำแดงความเก่งกล้าสามารถ มีความรอบรู้สารพัดในเรื่องเศรษฐกิจ - การเมือง และก็เขียนด้วยถ้อยคำรุนแรง โดยเฉพาะพวกที่คอมเม็นต์ ทั้งนี้ก็เพราะหลงคิดว่าจะเหยียบย่ำทำลายล้างฝ่ายที่มีความเชื่อตรงข้ามกับตนให้ล้มหายตายจากไปได้ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเขากำลังเหยียบย่ำทำลายล้างตนเองอยู่ทุกขณะจิต และผลที่จะตามมาก็คืออาการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตดังที่กล่าวมา
สุดท้ายเขาก็จะตายก่อนเวลาอันสมควร
แม้ตัวชีวิตจะยังไม่ตาย แต่ก็ตายในด้านสติปัญญาไปก่อนแล้ว
ความเชื่อ...ไม่ว่าเชื่ออะไร มันคือ “ความยึดมั่นถือมั่น” มันเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง และ “โรคยึดมั่นถือมั่น” นี้ก็ทำลายล้างทุกคนที่ใช้ชีวิตอยู่กับมันมานับไม่ถ้วน และมีให้เห็นทุกวัน
เพราะฉะนั้นหากเราต้องการอายุยืน ชีวิตประจำวันเบาสบายก็ต้องหาวิธีหลีกหนีความเครียดให้ได้ หากหลีกหนีไม่ได้ก็ต้อง “ทำใจ” หรือดีกว่านั้นก็คือ “ปลง” และแผ่เมตตา
ชีวิตเราและสังคมที่เรามีชีวิตอยู่ในยุคนี้มีแต่เรื่องความเครียด แค่เรื่องเดินทาง เรื่องทำงาน เรื่องเพื่อนร่วมงาน เรื่องเจ้านายในสำนักงาน เรื่องค่าครองชีพ เรื่องลูกหลานและคนในครอบครัวก็ทำให้เครียดมากอยู่แล้ว หากต้องเข้าสู่โลกแห่งการถกเถียงเรื่องเศรษฐกิจ – การเมืองด้วยก็ยิ่งต้องเตรียมใจให้หนักแน่นเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นชีวิตจะเหมือนถูกขึงตึงอยู่บนปากเหวที่มีไฟลุกโพล่งพลุ่งขึ้นมาสู่ตัวเรา
ผมเห็นว่ายุคนี้เราต้องพึ่งพระพุทธศาสนาครับ จึงจะเอาชีวิตอยู่รอดปลอดภัยและมีอายุยืนยาวไปตามปรกติได้.
*หลวงปู่บุดดา ถาวโร อายุ 100 ปี ยังเยาว์วัยและผุดผ่อง เพราะไม่เครียด...ไม่เครียดเพราะปฏิบัติธรรม (ขอบคุณเจ้าของภาพครับ)
วิมล ไทรนิ่มนวล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี