แรกทีเดียวตั้งใจจะเขียนเรื่องหญิงสาว 1 ใน 2 ของอเมริกาที่มีธงชาติชักขึ้นสู่ยอดเสาตลอดเวลาข้างหลุมศพ ซึ่งถือเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับเพียงแค่ 2 นางเท่านั้น เพราะเพิ่งไปเยือนเมืองที่เป็นสมรภูมิแห่งสงครามกลางเมืองมาหมาดๆ เป็นเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาในรัฐเพนซิลเวเนียที่มีชื่อว่า “เก็ตตี้สเบิร์ก” และเรื่องของสตรีหนึ่งในนั้นเกิดขึ้นที่นี่
แต่พอกลับถึงบ้าน มีข่าวใหญ่ที่น่าตกใจกว่าเรื่องนี้ นั่นคือ การกราดยิงอย่างบ้าคลั่งที่ลาสเวกัส แต่ก่อนที่จะเกิดโศกนาฎกรรมนี้ขึ้น เมื่ออาทิตย์ก่อนก็มีการกราดยิงแบบไม่เลือกหน้าในโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี
เอมานูเอล คีเดกา แซมสันใส่หน้ากากแล้วขับรถไปที่ลานจอดรถโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ขณะนั้นพิธีกรรมในโบสถ์เสร็จสิ้นพอดี เอมานูเอล คีเดกา แซมสันยิงผู้หญิงคนหนึ่งเสียชีวิตคาที่ ขณะที่เธอกำลังเดินไปที่รถ จากนั้นก็บุกเข้าทางด้านหลังของโบสถ์แล้วยิงคนไป 6 ราย ซึ่งการก่อเหตุครั้งนี้เป็นการกราดยิงแบบสุ่ม เพราะไม่ได้มีความขัดแย้งหรือเป็นสมาชิกของโบสถ์แห่งนี้แต่อย่างใด
น้ำตายังไม่ทันเหือดหาย..ฝันร้ายยังไม่ทันจาง ไม่กี่วันต่อมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นในลาสเวกัส สถานที่ซึ่งเป็นแหล่งบันเทิงหรือคนอเมริกันเรียกว่า “สนามเด็กเล่นแห่งอเมริกา” ปกติแล้ว ทุกคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ อย่างศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ในลาสเวกัสจะอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะมีคอนเสิร์ตกลางแจ้งให้เลือกชมอย่างจุใจ โดยเฉพาะในเดือนนี้ เพราะใครๆ ต่างก็มุ่งหน้าไปลาสเวกัส เนื่องจากอากาศเริ่มเย็นลง ไม่ร้อนจัดเหมือนเดือนสิงหาคม สิงหาคมคือเดือนที่ร้อนที่สุดในอเมริกา เมื่อสองปีก่อนเคยไปลาสเวกัสในเดือนสิงหาคมแล้วแทบร้องไห้ เหมือนเดินในเตาอบดีๆ นี่เอง ส่วนมากผู้คนจะออกมาเดินเที่ยวช่วงกลางคืน เพราะไม่ร้อนเหมือนกลางวัน
เวลาสองทุ่มคืนวันอาทิตย์ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ในขณะที่ฝูงชนหลายร้อยคนกำลังกริ๊ดกร๊าดโบกมือเต้นรำตามเสียงเพลงของคอนเสิร์ตกลางแจ้งที่มีศิลปินคันทรี "เจสัน อัลดีน” บรรเลงอย่างถึงอกถึงใจอยู่นั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงรัวปืนกลดังเหนือหัวจากทุกทิศทุกทาง ตอนแรก ทุกคนคิดว่าเป็นเสียงแอฟเฟ็คประกอบการแสดง แต่ทันใดนั้นหลายคนล้มคว่ำลงกับพื้นพร้อมเลือดทะลักโชกร่าง เสียงร้องเพลงจึงกลายเป็นเสียงกรีดร้องอย่างเสียขวัญ ต่างหมอบลงกับพื้น สามีใช้ร่างกายกำบังภรรยา พ่อกำบังลูก บางคนหมอบราบกับพื้นแล้วร้องไห้โฮด้วยความตกใจ นาทีนั้นไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่ามีใครบางคนกำลังแจกจ่ายความตายให้อย่างไม่เลือกหน้า
มือสังหารเป็นชายวัย 64 ปีชื่อสตีเฟน เคร็ก แพดด็อค ชาวเมืองเมสกีเต มลรัฐเนวาดา ที่ดูเหมือนปกติทุกอย่าง ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นฆาตกรสังหารหมู่แต่อย่างใด ซุ่มรอเวลาอยู่บนชั้นที่ 32 ของโรงแรมมันดาเลย์และคาสิโน ซึ่งโรงแรมนี้นอกจากจะเป็นคาสิโนและโรงแรมแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจด้วย นั่นคือ อควาเรี่ยมที่มีสัตว์น้ำนานาพันธุ์จัดแสดง และการแสดงดนตรี"รูท 91 ฮาร์เวสต์ มิวสิค เฟสติวัล" ที่ดำเนินไปอย่างสนุกสนานก็จัดขึ้นบนลานหน้าโรงแรม
ในฐานะที่เดินเล่นแถวนั้นบ่อยๆ โซนนั้นเรียกได้กว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวชอบไปถ่ายรูปแสงสีที่สุดแห่งหนึ่ง เพราะมีโรงแรมกับคาสิโนหลายแห่งติดกัน สีสันนีออนสวยงามแปลกตา จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงมีคนชมคอนเสิร์ตเยอะมากในคืนวันอาทิตย์
มือสังหารพักอยู่บนชั้นที่ 32 ของโรงแรมนี้ ในห้องพบปืนหลากชนิด แต่ตอนกราดยิงหนแรกๆ นั้นใช้ปืนกลกึ่งอัตโนมัติ ที่เรียกว่า “ sub-machine gun” กราดยิงแบบไม่เลือกเป้าหมายลงไปยังกลุ่มผู้ชมคอนเสิร์ตอย่างใจเย็น
นักร้องอัลดีนกำลังแสดงอยู่บนเวที ตอนที่เสียงปืนดังขึ้น ทุกคนได้ยินเสียงปับๆๆๆๆ รัวต่อกันเป็นชุด อัลดีนหยุดแสดง และฝูงชนอยู่ในความเงียบเหมือนไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น มือปืนหยุดไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระดมยิงอีกระลอก ผู้ชมบางส่วนล้มลงนอนกับพื้น ส่วนคนอื่นๆ หนีตายด้วยความตื่นตระหนก มีบางคนหลบอยู่ข้างหลังสิ่งที่พอจะกำบังตัวได้ ส่วนคนอื่นๆ คลานเข้าไปซ่อนใต้รถยนต์ที่จอดอยู่
ขณะที่มือปืนยิงกราดลงมาอย่างบ้าคลั่ง ฝูงชนเรือนหมื่นพากันหลบหนีออกไปทุกทิศทุกทาง บางคู่จับมือกันวิ่งผ่านสถานที่ทิ้งขยะ ทุกคนอยู่ในอาการช็อกและสับสน หลายคนน้ำตาไหลและกรีดร้อง บางคนเลือดไหลท่วมตัว บางคนก็นอนฟุบเลือดไหลนองพื้น
ทีมตำรวจหน่วยสวาทพังเข้าไปในห้องพักโรงแรมที่มือปืนผู้นี้พำนักอยู่ และพบว่ามือปืนฆ่าตัวตายไปแล้ว ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงว่าการก่อเหตุสยองครั้งนี้มีมูลเหตุจูงใจอะไร ด้านกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯบอกว่า ไม่มีภัยคุกคามเจาะจงใดๆ ที่เชื่อถือได้ต่อสถานที่สาธารณะแห่งอื่นๆ ในอเมริกา ตำรวจไม่มีข้อมูลข่าวสารใดๆ เกี่ยวกับแรงจูงใจของมือปืนรายนี้ รวมทั้งไม่ได้มีประวัติอาชญากรรมใดๆ และไม่เชื่อว่ามีการเชื่อมโยงติดต่อกับกลุ่มหัวรุนแรงใดๆ ด้วย สรุปสั้นๆ ว่าไม่ใช่การก่อการร้ายนั่นเอง
จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตขณะนี้คือ 58 ราย และบาดเจ็บกว่า 400 ราย แต่ตัวเลขยังไม่นิ่ง เพราะอาจจะเพิ่มขึ้นได้อีกตลอดเวลา ทำให้โศกนาฎกรรมหนนี้กลายเป็นการกราดยิงที่มีผู้เสียชีวิตไปมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในบ้านลุงแซม แซงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ปี 2559 เมื่อมือปืนผู้หนึ่งเปิดฉากระดมยิงในบาร์เกย์แห่งหนึ่งที่เมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา สังหารผู้คนไป 49 คน
อเมริกาเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงบ่อยที่สุดในโลก สะท้อนให้เห็นปัญหาการครอบครองอาวุธปืนที่เปิดเสรีในทุกรัฐ สถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐหรือเอ็นไอเอชระบุว่า อเมริกาเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดเหตุกราดยิงเพื่อสังหารหมู่เป็นจำนวนมากครั้งที่สุดในโลก คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของเหตุกราดยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนโลก
นาทีนี้การกราดยิงที่ลาสเวกัสแซงหน้าอันดับหนึ่งไปแล้ว ขอย้อนเหตุการณ์กราดยิงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ยุคใหม่หน่อยเป็นไร
ปี 2559 คนร้ายบุกเดี่ยวใช้อาวุธปืนกราดยิงเหยื่อไม่เลือกหน้าภายในไนต์คลับ “พัลส์” สำหรับกลุ่มรักร่วมเพศหรือแอลจีบีทีในเมืองออร์แลนโด รัฐฟลอริดา จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 50 รายและได้รับบาดเจ็บอีก 53 ราย ปีเดียวกันนั้น มีการกราดยิงเกิดขึ้นในเมืองซานเบอร์นาร์ดิโน รัฐแคลิฟอร์เนียในเดือนธันวาคม สองมือปืนคู่สามีภรรยาก่อเหตุสังหารเหยื่อ 14 รายที่ศูนย์ฟื้นฟูผู้พิการก่อนที่ทั้งคู่จะถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมในที่เกิดเหตุ
ปี 2550 นักศึกษามหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย เทค วัย 23 ปีก่อเหตุกราดยิงเพื่่อนนักศึกษาและเจ้าหน้าที่คณะรวม 32 รายก่อนยิงตัวตาย
ปี 2555 ชายวัย 20 ปีก่อเหตุในโรงเรียนประถมแซนดี้ ฮุค ในเมืองนิวตัน รัฐคอนเนตติคัทคร่า 27 ชีวิตซึ่งรวมถึงเด็กนักเรียน 20 คน เจ้าหน้าที่โรงเรียน 6 คนและแม่ของตน ก่อนจะปลิดชีพตัวเอง โดยมือปืนรายนี้มีประวัติป่วยทางจิตขั้นรุนแรงและรักษาไม่หาย
ปี 2534 มือปืนวัย 35 ปีขับรถกระบะพุ่งชนร้านคาเฟ่แห่งหนึ่งก่อนกราดยิงผู้บริสุทธิ์ 23 รายและยิงตัวตาย โดยอดีตเพื่อนร่วมหอพักของมือปืนบอกว่ามือปืนเกลียดคนผิวสี คนเชื้อสายสเปน เกย์
อเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนอาวุธปืนหมุนเวียนในตลาดมากที่สุดในโลก อยู่ที่ประมาณ 270-310 ล้านกระบอก เทียบกับจำนวนประชากรทั้งประเทศอยู่ที่ราว 319 ล้านคน ซึ่งหมายความว่าชาวอเมริกันแทบทุกคนมีปืนเป็นของตัวเองอย่างน้อยคนละ 1 กระบอก
ไม่รู้ว่าโศกนาฎกรรมเช่นนี้จะจบลงเมื่อไหร่ เพราะไม่สามารถหาความปลอดภัยใดๆ ได้ ไม่ว่าจะทั้งในเมืองเล็กและเมืองใหญ่ เพราะความรัก ความชัง ความบ้าคลั่งไม่เข้าใครออกใคร กระสุนจากความเกลียดชังอาจปลิวมาฝังร่างได้ทุกเมื่อ เวลาเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ ในใจมักแว่วเสียงเพลง The Star-Spangled Banner อันเป็นเพลงชาติอเมริกาขึ้นมาทุกที โดยเฉพาะท่อนสุดท้าย
Tis the star-spangled banner: O, long may it wave O’er the land of the free and the home of the brave!
นี่คือธงประกายดาวอันพราวพลิ้วไสว.. โอ้..ธงจะโบกสะบัดตราบนิรันดร์บนแผ่นดินแห่งเสรีและที่พำนักแห่งความหาญกล้า..
เนื้อเพลงฟังดูเหมือนนิทานที่เอาไว้หลอกเด็กอย่างไรอย่างนั้นเลย..เพราะภาพที่เห็นและเป็นอยู่ในอเมริกาทุกวันนี้หาได้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี