หลังจาก นส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีตัดสินใจหนีออกนอกประเทศ ภายหลังรู้แน่ชัดแล้วว่า เธอจะต้องถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุกไม่แตกต่างจากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ และพรรคพวก ในคดีระบายข้าวแบบจีทูจีเก๊ ซึ่งเธอรู้อยู่แก่ใจดี เพราะเป็นประธานคณะกรรมการระบายข้าวเอง รอจนวินาทีสุดท้าย ก็ตัดสินใจหนี ไม่ยอมอยู่ฟังคำตัดสินของศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม จนศาลต้องเลื่อนอ่านคำพิพากษาออกไปเป็นวันที่ 27 กันยายน และเธอก็ไม่เดินทางกลับมาฟังคำตัดสินของศาลอย่างที่คาด
น.ส.ยิ่งลักษณ์ หนีออกไปนอกประเทศ วันที่ 23 สิงหาคม ก่อนวันศาลตัดสินเพียงสองวัน ปล่อยให้นายบุญทรง และพวก ต้องเผชิญชะตากรรมตามลำพัง ทั้งที่เธอยืนยันมาตลอดว่าจะไม่หนี จะอยู่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธ์ แต่เอาเข้าจริงก็หลอกลวง แม้กับคนที่ซื่อสัตย์อย่างนายบุญทรง ที่ยอมติดคุกเพื่อปกป้อง “เจ้านาย” หากเขายอมเปิดเผย “ไอ้โม่ง” ที่สั่งให้โกงอย่างมโหรทึก ในโครงการระบายข้าวแบบจอมปลอม หรือจีทูเจี๊ยะ นายบุญทรง คงไม่ต้องรับโทษหนักจำคุกถึง 42 ปี นายบุญทรง บอกว่า เขาจะให้ความลับตายไปพร้อมกับตัวเขา
สำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่หลบหนีออกนอกประเทศ ไม่ได้ไปไหน ไปอยู่ดูใบกับทักษิณพี่ชายนั่นเอง โดยทางดูใบขอให้เธออย่าเคลื่อนไหวการเมืองและ ล่าสุดมีข่าวกำลังทำเรื่องขอลี้ภัยไปอังกฤษ
นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย กล่าวว่า คดีของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ไม่ใช่คดีการเมือง แต่เป็นคดีอาญา ตอนที่เธอถูกรัฐประหาร เมื่อ 3 ปีที่แล้ว หากจะขอลี้ภัยไปต่างประเทศ ก็ยังพอมีเหตุผล แต่นี่เวลาผ่านมา 3 ปี แล้ว และไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นกับตัวเธอ จึงไม่น่าจะได้รับอนุญาตให้ลี้ภัย
ส่วน คสช. และรัฐบาล โดยเฉพาะพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่รับผิดชอบฝ่ายความมั่นคง ที่ปล่อยให้เธอหนีออกไปได้ ก็ตกเป็นจำเลยของสังคมในทันที หาคำอธิบายไม่ได้ ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ล่าสุดก็ออกมายอมรับมีนายตำรวจพาหนี แต่ก็ไม่ได้ถูกลงโทษอะไร และบอกว่ารู้แล้วไปอยู่ดูใบ ก็ยังไม่สามารถลงโทษอะไรได้ ขณะที่พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวในลักษณะปกป้องลูกน้องที่พาหนี “ยังไม่มีพยานหลักฐานที่จะเอาผิดลูกน้องได้ และไม่รู้ว่า ยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศหรือยัง..ไม่มีใครเห็นรถ ”
ศจ. ดร.เขียน ธีระวิทย์ นักวิชาการอาวุโสจากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกบทความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ตั้งคำถาม “ตำรวจพาผู้ต้องหาหนีศาลไม่ผิดหรือ?...” ซึ่งเขียนก่อนวันที่ 27 กันยายน ที่ศาลมีคำตัดสิน ลงโทษจำคุกยิ่งลักษณ์ 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
ศจ.ดร. เขียน ได้ตั้งข้อสังเกตถึงการหนี ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ “ พอมีข่าวอื้อฉาวแพร่ออกมาว่า มีผู้ร้ายพาผู้ต้องหานางสาวยิ่งลักษณ์หนีออกนอกประเทศ ผู้นำตำรวจและรัฐบาล ที่เกี่ยวข้องก็อ้ำๆ อึ้งๆ ในการตอบคำถามผู้สื่อข่าว”
“สามัญสำนึกผมบอกว่า ไม่ตำรวจก็ทหารนั่นแหละพาหนี ...ช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดไม่ปิด รองนายกรัฐมนตรี พลเอกประวิตร ก็ออกมายอมรับว่า มีนายตำรวจในราชการยศพันตำรวจเอก และพันตำรวจโท ร่วมกับพรรคพวกพาหนี ตำรวจได้ปล่อยตัวไป เพราะไม่มีกฎหมายเอาผิด เนื่องจากศาลยังไม่ได้ตัดสินว่า นส.ยิ่งลักษณ์มีความผิด ...”
“ข้อที่น่าห่วงคือ คำอธิบายของรอง ผบ.ตร. ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ และรองนายกที่รับผิดชอบในการรักษาความมั่นคงของชาติ ชวนให้คนทั่วไปสงสัยว่า ท่านต้องการปกป้องลูกน้องใช่ไหม จึงไม่สนใจจะดำเนินคดีกับตำรวจและพรรคพวกที่พาผู้ต้องหาสำคัญหนีออกนอกประเทศ”
ศจ.ดร.เขียน เสนอให้ดำเนินการฟ้องร้องเอาผิดกับคน 2 พวก คือ พวกแรกทีมงานที่ร่วมกันพาผู้ต้องหาหนีออกนอกประเทศ ข้อหาตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 189 พวกที่สอง ฟ้องผู้บังคับบัญชาของสถานีตำรวจที่ความผิดเกิดขึ้น และผู้บังคับบัญชาที่ออกมาปกป้อง ด้วยวาจา หรือการกระทำตามป.อาญามาตรา 157 ฐานปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ นอกจากนั้น ให้ฟ้องนส.ยิ่งลักษณ์ในข้อหาละเมิดอำนาจศาลด้วย
“สามัญสำนึกของผม บอกว่า ผู้ที่พาจำเลย หรือผู้ต้องหาหนีคดีต้องมีความผิดแน่นอน ตำรวจหรือทหารจะออกมาปกป้องพวกตัว ให้พ้นผิดไม่ได้ มิเช่นนั้นความเสียหายจะเกิดแก่กระบวนการยุติธรรม อย่างใหญ่หลวง...ไม่น่าเชื่อ มีข่าวในสื่อมวลชน ในปี 2555-2558 มีจำเลยและผู้ต้องหาหนีคดีประมาณ 27,000 คน”
สำหรับการเมืองระบอบทักษิณ ขณะนี้เดินทางมาถึงทางสองแพร่ง จะหยุดหรือจะเดินหน้าต่อไป เพื่อสร้างนอมินีคนใหม่แทนยิ่งลักษณ์ ที่ไม่น่าจะมีโอกาสกลับมาสู้คดีแล้ว แม้จะมีสิทธิอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญใหม่ แต่เจ้าตัวจะต้องมาปรากฏตัวต่อศาล และคดีไม่มีอายุความ เข้ามาประเทศเมื่อไหร่ ค่อยเริ่มนับหนึ่งใหม่ จึงต้องหนีไปตลอดชีวิต
ส่วนพรรคเพื่อไทย ที่ตอนนี้ มีตัวเลือกเหลืออยู่ไม่มากนัก บุคคลที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค เพราะถูกใช้ไปเกือบหมดแล้ว เหลือคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ คนเดียว ที่ดูจะมีภาษีดีกว่าเพื่อน เพราะยังไม่มีคดี หรือโดนข้อกล่าวหาใดๆ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจถูกเลือกให้มาเป็นหัวหน้าพรรคคนต่อไป เพราะมีภาพพจน์มือประสานสิบทิศกับคนต่างพรรคได้ดีที่สุดในขณะนี้ อย่างไรก็ตามเจ้าตัว บอกปัดว่า พรรคเพื่อไทยเขามีหัวหน้าพรรคแล้ว
นักวิเคราะห์การเมืองมองว่า ทักษิณน่าจะยังไม่วางมือทางการเมืองง่ายๆ ยังมีอีกหลายคดีที่รอคำตัดสินของศาล เฉพาะคดีลูกชาย คือนายพานทองแท้ ชินวัตร ก็กำลังถูกดีเอสไอ ดำเนินคดีฟอกเงิน สำหรับคดีเงินกู้กฤษดามหานคร
การเมืองระบอบทักษิณ ก่อปัญหายืดเยื้อมากว่าสิบปีแล้ว เปลี่ยนชื่อมาแล้วสามพรรค จากพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึง พรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน ถูกทหารรัฐประหารสองครั้งปี 49 และ 57 หัวหน้าพรรคต้องหนีคดีไปต่างประเทศ แม้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาว อดีตนายกฯ ก็เดินตามรอยพี่ชาย ไม่แตกต่างกันนัก เป็นพรรคการเมืองที่มีนายกฯนอมินี มาแล้วสามคน คนแรก นายสมัคร สุนทรเวช คนที่สอง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขย และสุดท้าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ยกเว้นนายสมชาย ที่โดนคดีสลายการชุมนุมเหตุการณ์ 7 ตุลา ปี 51 และรอดพ้นมาได้ แม้ศาลจะยกฟ้อง แต่ก็ถือว่ามีรอยด่าง พัวพันกับคดีทำให้ผู้คนเสียชีวิต บาดเจ็บนับร้อย ถือว่าไม่สง่างาม
การเมืองระบอบทักษิณจากนี้ไป น่าจะไม่เหมือนเดิม โอกาสที่ระบอบทักษิณ จะฟื้นคืนอำนาจแบบเก่าเป็นไปได้ยาก ระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ ที่เป็นแบบผสม ยากที่จะมีพรรคใดได้เสียงข้างมาก จนจัดตั้งรัฐบาลได้พรรคเดียวอีกต่อไป นอกจากต้องร่วมกันเป็นรัฐบาลผสม พรรคเล็ก และพรรคขนาดกลางมีโอกาสต่อรองมากขึ้น พรรคที่เป็นแกนไม่สามารถผูกขาดมีอำนาจอย่างแต่ก่อน ที่สำคัญ ไม่ได้ปิดกั้นนายกฯคนนอกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งอีกต่อไป
กรณีทักษิณ - ยิ่งลักษณ์ ถือเป็นบทเรียนสำคัญให้คนได้ศึกษาเรียนรู้ว่า การเมืองที่ใช้แต่อำนาจ ไม่ได้ใช้ธรรมนำหน้า ในที่สุดก็ต้องพบจุดจบไปไม่รอด คนที่จะเข้ามาสู่การเมืองต่อจากนี้ไป ไม่ใช่มีแต่เงิน และอำนาจเท่านั้นที่จะทำให้ยืนอยู่ได้ หากนักการเมืองไม่มีธรรมะเป็นแนวทาง เอาแต่แสวงหาประโยชน์ เหลิงอำนาจ เต็มไปด้วยความละโมบ ใช้แต่เงิน - อำนาจเป็นใหญ่ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชน
นักการเมืองที่ไม่สามารถสรุปบทเรียนได้ ยังเล่นการเมืองแบบเก่าๆ ซื้อเสียง ซื้อพรรค ซื้อ สส. ทำเพื่อตนเองและพรรคพวก คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของบงการพรรค มองไม่เห็นหัวประชาชน ก็จะพบจุดจบอย่างที่เห็น
ส่วนการเลือกตั้งที่ คสช.กำหนดไว้ในโรดแมป จะมีขึ้นในปลายปี 61 นั้น ปรากฏว่านิด้าโพลสำรวจล่าสุด เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ( 71.30 %) มีความเห็นรับได้ หากจะมีการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เนื่องจากต้องการให้ คสช.จัดระเบียบประเทศให้เรียบร้อยก่อน โดยเห็นด้วยกับการปฏิรูปประเทศก่อนเลือกตั้ง ไม่กังวลว่าไม่มีเลือกตั้งแล้ว ประเทศจะเสียหาย กลับมองว่า คสช.และรัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยังบริหารประเทศไปได้ แม้เศรษฐกิจจะยังมีปัญหาบ้างก็ตาม
โดยศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพล) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนล่าสุด “ประชาชนอยากเลือกตั้งแล้วหรึอยัง?” ซึ่งสำรวจเมื่อวันที่ 27-29 กันยายน จากประชาชนทั่วประเทศ 1,251 คน
เหตุผลที่ประชาชนอยากให้ทำการปฏิรูปประเทศก่อน เพราะบ้านเมืองยังต้องการการจัดระบบระเบียบ “อะไรหลาย ๆอย่าง ยังไม่ลงตัว ไม่เรียบร้อยเท่าไหร่ การดำเนินการต้องใช้เวลา ต้องรอให้รัฐบาลชุดนี้บริหารบ้านเมืองไปก่อน เชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี คิดว่ารัฐบาลคงมีเหตุผลที่สำคัญ ในการเลื่อนการเลือกตั้ง และคิดว่าหากเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก็คงไม่นาน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เพราะประชาชนทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ถ้าบ้านเมืองยังไม่สงบจริง ก็อยากให้รัฐบาลคสช.บริหารประเทศต่อไป”
มีร้อยละ 23.74 ยอมรับไม่ได้ เพราะนานเกินไป อยากให้รัฐบาลทำตามที่ได้กำหนดไว้ในโรดแมป อยากให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ควรคืนอำนาจให้กับประชาชน เศรษฐกิจแย่มาก ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่น ในการมาลงทุน และไม่ชอบการทำงานของรัฐบาล อยากให้บ้านเมืองดีขึ้นกว่านี้
อย่างไรก็ตาม ประชาชน (68.19%) อยากเห็นการเลือกตั้ง เป็นไปตามโรดแมป คือปลายปี 2561 เพราะอยากให้ประเทศชาติพัฒนา มี 24.38 % ระบุว่าไม่อยากเลือกตั้ง เพราะตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองยังไม่ปกติ ไม่สงบเรียบร้อย แต่ถ้าไม่มีเลือกตั้งปลายปี 61 ถามว่า มีความกังวลใจมากน้อยเพียงใด พบว่า (45 %) ไม่กังวลใจ มีเพียงร้อยละ 19.34 ตอบว่า มีความกังวลใจค่อนข้างมาก กล่าวโดยสรุป คนส่วนใหญ่อยากเห็นการปฏิรูปประเทศก่อนการเลือกตั้ง เพราะยังวางใจในรัฐบาล คสช. และพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
ล่าสุดพลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในระหว่างเดินทางไปเยือนสหรัฐ ว่าปี 61 จึงจะประกาศวันเลือกตั้ง ส่วนการเคลื่อนไหวล่าสุด พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ มีความพยายามที่จะร่วมมือกันเพื่อต่อต้าน “คนนอก” ที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรี ก็คงต้องจับตาดูกันต่อไป หากหลายๆทางเลือกพบทางตัน โอกาสการมี “รัฐบาลแห่งชาติเพื่อร่วมกันปฏิรูปประเทศ” ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเลือกตั้ง ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ อาจไม่ใช่หัวหน้าพรรคใหญ่อีกต่อไป สูตร “เปรม โมเดล” จะกลับมาอีกหรือไม่? บ้านเมืองจะกลับไปสู่วังวนแบบเก่าๆ ได้นักโกงบ้าน-กินเมือง อย่างที่ผ่านมาหรือไม่? อยู่ที่ประชาชนต้องตื่นตัว ลุกขึ้นมาปกบ้านป้องเมือง อย่าให้กลุ่มบุคคลใดมาทำลายอีกต่อไป
อัมพา สันติเมทนีดล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี