ประเทศไหนๆในโลกนี้ก็มีรัฐธรรมนูญทั้งนั้น ทั้งประเทศที่มีการปกครองแบบประชาธิปไตยและประเทศที่มีการปกครองแบบเผด็จการแบบต่างๆ ทั้งเปิดเผยและซ่อนเร้น แม้แต่ประเทศคอมมิวนิสต์อย่างสาธารณรัฐเกาหลีเหนือก็มีรัฐธรรมนูญ
เพราะรัฐธรรมนูญ หมายถึงบทกฎหมาย "สูงสุด" เป็นบทกฎหมายของทั้งประเทศเพื่อจัดระเบียบการปกครองประเทศ โดยกำหนดรูปแบบของ "รัฐ" ว่าเป็นรัฐเดียวหรือรัฐรวม กำหนดระบอบการปกครองของรัฐ รวมทั้งสถาบันและองค์กรต่างๆที่ใช้ “อำนาจอธิปไตย” ปกครองรัฐ
รัฐธรรมนูญสมัยใหม่นั้นมีบทบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นรูปธรรม บางประเทศก็มีการสร้างสัญลักษณ์อย่างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในประเทศไทยเป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการประกาศเจตนารมณ์และการสื่อสารที่แม่นตรงในสังคมประเทศนั้น
แต่ก็มีบางประเทศที่ไม่มีหรือไม่ได้เขียนรัฐธรรมนูญไว้เป็นลายลักษณ์อักษร อย่างประเทศสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) เป็นต้น
รัฐธรรมนูญของสหราชอาณาจักรเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร แต่กระจัดกระจายอยู่ในกฎหมายต่างๆบ้าง ในรูปของพระราชบัญญัติต่างๆ บ้าง เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ปี ค.ศ.1689 พระราชบัญญัติสืบสันตติวงศ์ ปี 1701 เป็นต้น หรือในรูปแบบของข้อตกลงและขนบธรรมเนียม เช่น การจัดตั้งคณะรัฐมนตรีไม่มีกฎหมายฉบับไหนบ่งบอกให้มีการจัดตั้ง แต่คณะรัฐมนตรีก็มีพัฒนาการมาจากภาคปฏิบัติจนกลายเป็นขนบธรรมเนียมที่ยอมรับกันมาเกือบ 300 ปีแล้ว
รัฐธรรมนูญของสหราชอาณาจักร จึงเป็นเรื่องราวพัฒนาการของประวัติศาสตร์การเมือง เกิดขึ้นหรือเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการร่วมมือและการขัดแย้งระหว่างพระมหากษัตริย์และขุนนาง เป็นการต่อสู้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มชนชั้นของตนเอง รวมทั้งความคิดเชื่อตามลัทธิศาสนาของฝ่ายตน ต้องผ่านสงครามปฏิวัติถึง 2 ครั้งใหญ่ในศตวรรษที่ 17 และยังจะต้องมีการปฏิรูปกันขนานใหญ่ ในศตวรรษที่ 19 และ 20 จึงเป็นการปกครองใน “ระบอบประชาธิปไตย” แบบ “จารีต” ดังปัจจุบัน
ระบอบการปกครองของประเทศไทยก็เลียนแบบมาจากสหราชอาณาจักร แต่มีการแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่ายอย่างชัดเจน คืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ แต่การปกครองของสหราชอาณาจักรไม่ได้แบ่งแยกอำนาจทั้ง 3 อย่างชัดเจน
แต่ไม่ว่าประเทศทั่วโลกจะมีรัฐธรรมนูญแบบไหน อย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ สังคมทุกประเทศไม่มีความสงบสุข ยิ่งบรรดาผู้นำหรือ “ผู้ปกครอง” ด้วยแล้ว ดูเหมือนจะเป็นตัวปัญหาหรือเป็นที่มาของปัญหาเสียเอง มากกว่าจะที่เข้าช่วยแก้ปัญหาและป้องกันปัญหา นำความความร่มเย็นเป็นสุขมาให้แก่สังคมประเทศตน อย่างที่เราได้เห็นในข่าวทุกวัน
ปัญหาผู้ปกครองรวมทั้งนักการเมืองในประเทศไทยนั้นมีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมมาทุกยุคทุกสมัย และยังทันสมัยอยู่จนวันนี้ ไม่ว่าผู้ปกครองนั้นจะมาจากการเลือกตั้งหรือมาจากการยึดอำนาจ มากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่สำนึกหรือไม่ก็โอกาส รวมทั้งความฉลาดโกงและความโลภของผู้ปกครองคนนั้นๆ
ลองดูตัวอย่างนี้ก็ได้ “สนช.เผย 4 คดี ทักษิณอยู่ในข่ายเช็กบิลย้อนหลังตามพ.ร.บ.คดีอาญานักการเมืองฉบับใหม่ ชี้ยังมีคดีนักการเมืองท้องถิ่นอีก 85 คดีหลบหนีคดี เข้าข่ายถูกรื้อฟื้น...
ถามว่าทำไม เมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้วสังคมประเทศจึงไม่สงบ ซ้ำยังมีปัญหาแตกแยก – แย่งชิงอาจและผลประโยชน์กันไม่รู้จบ?
คำตอบทั่วไปก็คือ “ 1. นักการเมืองและผู้ปกครองขี้โกง 2. ประชาชนรู้ไม่ทันนักการเมือง 3. ประชาชนเห็นแก่ประโยชน์เฉพาะหน้าที่นักการเมืองหรือผู้ปกครองหว่านให้ 4. ประชาชนไม่สนใจการเมือง ให้เลือกตั้งก็เลือก ซ้ำยังเลือกตามคำบอกของหัวคะแนนเสียส่วนมากอีก ฯ)
คำตอบทั้งหมดนี้ยากจะแก้ไข และเป็นปลายเหตุ ถ้าจะตอบอย่าง “ฟันธง” ก็ต้องว่า “นักการเมืองและผู้ปกครองไม่มีคุณธรรม” ประชาชนบางส่วนก็ด้วย
เมื่อเป็นอย่างนี้จะมีรัฐธรรมนูญสักกี่ฉบับ มีกฎหมายสักกี่มาตราก็ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้นัก วิธีที่จะแก้ได้ก็คือนักการเมืองและผู้ปกครองต้องมีคุณธรรม หรือมีคุณธรรมของผู้ปกครอง
ผมเห็นว่า “ทศพิธราชธรรม” รวมทั้ง “จักรวรรดิวัตร” จะต้องกลับมาเป็น “รัฐธรรมนูญแห่งใจ” ของนักการเมืองและผู้ปกครองทุกระดับ
ทศพิธราชธรรม หรือราชธรรม 10 คือจริยวัตร 10 ประการที่พระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤติเป็นหลักธรรมประจำพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจำตนของผู้ปกครองบ้านเมือง ให้มีความเป็นธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชนจนเกิดความชื่นชมยินดี ซึ่งความจริงแล้วไม่ได้จำเพาะเจาะจงสำหรับผู้ปกครองแผ่นดินเท่านั้น เพราะสภาพสังคมและการเมืองได้เปลี่ยนไปมากแล้ว ดังนั้นบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้บริหารระดับสูงในทุกองค์กรก็พึงใช้หลักธรรมเหล่านี้
1 ทาน (ทานํ) คือ การให้
2 ศีล (สีลํ) คือ ความประพฤติที่ดีงาม ทั้ง กาย วาจา และใจ
3 บริจาค (ปริจาคํ) คือ การเสียสละความสุขสวนตนเพื่อความสุขส่วนรวม
4 ความซื่อตรง (อาชฺชวํ) คือ การสุจริตต่อหน้าที่การงานของตน ต่อมิตรสหาย ต่อองค์กรหรือหลักการของตน
5 ความอ่อนโยน (มทฺทวํ) คือ การมีอัธยาศัยอ่อนโยน
6 ความเพียร (ตปํ) คือ ความเพียร
7 ความไม่โกรธ (อกฺโกธํ) คือ การไม่แสดงอาการโกรธ
8 ความไม่เบียดเบียน (อวิหิงสา) คือ การดำเนินชีวิตไปตามทางสายกลาง การผลิต การบริโภคที่สมดุล ไม่เน้นประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก ซึ่งจะนำไปสู่การแข่งขันแย่งชิงจนเป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และทำลายโลก
9 ความอดทน (ขนฺติ) คือการรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาหรือไม่พึงปรารถนาก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่นไม่หวั่นไหว
10 ความเที่ยงธรรม (อวิโรธนํ) คือ ความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังมี “จักรวรรดิวัตร 12” คือธรรมอันเป็นพระราชจริยานุวัตรสำหรับพระมหาจักรพรรดิ และพระราชาเอกในโลก ที่ทรงถือและอาศัยธรรมข้อนี้เป็นธงชัยร่วมกับทศพิธราชธรรมและราชสังคหะ 4 สำหรับการดำเนินกุศโลบายและวิเทโศบายต่างๆ จักรวรรดิวัตรมี 12 ประการคือ
1.อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ ควรอนุเคราะห์คนในราชสำนัก และคนภายนอก ให้มีความสุข ไม่ปล่อยปละละเลย
2.ขตฺติเยสุ ควรผูกไมตรีกับประเทศอื่น
3.อนุยนฺเตสุ ควรอนุเคราะห์พระราชวงศานุวงศ์
4.พฺราหฺมณคหปติเกสุ ควรเกื้อกูลพราหมณ์ คหบดี และคฤหบดีชน คือเกื้อกูลพราหมณ์และผู้ที่อยู่ในเมือง
5.เนคมชานปเทสุ ควรอนุเคราะห์ประชาชนในชนบท
6.สมณพฺราหฺมเณสุ ควรอนุเคราะห์สมณพราหมณ์ผู้มีศีล
7. มิคปกฺขีสุ ควรจักรักษาฝูงเนื้อ นก และสัตว์ทั้งหลายมิให้สูญพันธุ์
8.อธมฺมการปฏิกฺเขโป ควรห้ามชนทั้งหลายมิให้ประพฤติผิดธรรม และชักนำด้วยตัวอย่างให้อยู่ในกุศลสุจริต
9.อธนานํ ธนานุปฺปทานํ ควรเลี้ยงดูคนจน เพื่อมิให้ประกอบการทุจริต กุศลและอกุศลต่อสังคม
10.สมณพฺราหฺมเณอุปสงฺกมิตฺวา ปญฺหาปุจฺฉนํ ควรเข้าใกล้สมณพราหมณ์ เพื่อศึกษาบุญและบาป กุศล และอกุศลให้
แจ้งชัด
11.อธมฺมราคสฺส ปหานํ ควรห้ามจิตมิให้ต้องการไปในที่ที่พระมหากษัตริย์ไม่ควรเสด็จ
12.วิสมโลภสฺส ปหานํ ควรระงับความโลภมิให้ปรารถนาในลาภที่พระมหากษัตริย์มิควรจะได้
ทั้งทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร รวมทั้งราชสังคหะ 4 ด้วยนั้น พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงยึดถือเป็น “คติ” ปฏิบัติเรื่อยมาจนเป็นจารีต เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญของสหราชอาณาจักร ดังจะเห็นได้จากพระราชกรณียากิจของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
ผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามองค์ธรรมดังกล่าวนี้ ผู้นั้นคือ “พระโพธิสัตว์”
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี