นับแต่มีรัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นต้นมา ก็มีเสียงร้องบอกว่า การเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่ทางออกของการเมืองไทย หมายความว่ามันเป็นระบอบที่ล้มเหลวในกราเมืองไทย แม้ว่าพวกนักวิชาการและนักการเมืองจะประกาศอยู่บ่อยครั้งว่า “ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่เลวน้อยที่สุด” ก็ตาม
ระบอบนั้นมีความสำคัญ มันเป็นทั้ง “กรอบ กระบวนการ และวิธี” ที่จะให้สังคมดำเนินไปอย่างราบรื่นที่สุด หรือมีปัญหาน้อยที่สุด แต่ก็มีคนจำนวนมหาศาลที่บอกว่า”คนสำคัญกว่าระบอบ”
เพราะไม่ว่าระบอบจะดีอย่างไร ถ้าคนชั่วเขาก็วิธีทำชั่วเพื่อผลประโยชน์ตนเองจนได้ และอาจจะแก้ระบอบให้รับใช้ความชั่วของเขาก็ได้ด้วย ซึ่งก็เห็นกันอยู่แล้ว
แต่ถ้าคนดี แม้ระบอบจะไม่ดีนัก เขาก็ย่อมทำดีตามปรกติวิสัยของเขา
แต่ผมก็เห็นว่าควรจะต้องดีทั้งระบอบและคน โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำทุกระดับชั้น
ก่อนหน้าที่จะกำเนิด “พรรคไทยรักไทย” ระบอบประชาธิปไตยก็ล้มลุกคลุกคลานและร่อแร่อยู่แล้ว ในแง่ที่มันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของสังคมอย่างที่มันโอ้อวดคุณประโยชน์ไว้ได้ พอพรรคไทยรักไทยกำเนิดก็ดูเหมือนว่ามันจะสามารถตอบสนองความต้องการของสังคมได้ อย่างที่มีคนเรียกกันว่า “ประชาธิปไตยที่กินได้”
มันเป็นประชาธิปไตยที่ “กินได้” จริง แต่แบบเทียมๆ คือ พลเมืองทั่วไปได้รับนโยบายประชานิยม ที่ “ลด แลก แจก แถม” เรื่อยมา ส่วนพลเมืองที่เกี่ยวโยงกับนักการเมืองและผู้อำนาจในการเมืองตั้งแต่ระดับศูนย์กลางรัฐ กระทั่งถึงระดับท้องถิ่นก็กินได้และได้กินกันจนกลายเป็นเครือข่าย แต่พวกที่ได้กินมากกว่าก็คือพวกที่อยู่ในศูนย์กลางอำนาจ ขนาดที่ว่าแทบจะกินรวบทั้งประเทศ จนเกิดคดีฟ้องร้องมาจนวันนี้
ประชาธิปไตยที่กินได้จึงกลายเป็นปัญหาหลักของประเทศ ก่อเกิดคอรัปชั่นแพร่ระบาดไปทั่วแผ่นดิน และนำมาซึ่งการต่อต้านรัฐบาลตั้งแต่สมัย พธม. กระทั่งมาถึง กปปส. และเกิดเงื่อนไขให้ทหารยึดอำนาจอย่างละมุนละม่อมมาจนทุกวันนี้
การที่ทหารยึดอำนาจ ผู้คนทั่วไปก็ถอนหายใจคลายความตึงเครียดที่สะสมยาวนานมาหลายปี และคนจำนวนมากก็สนับสนุนให้ทหารปกครองประเทศจนมาถึงวันนี้ เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีเวลาพักผ่อนละทำมาหากินได้ตามปรกติ
มาถึงจุดนี้ก็ดูเหมือนว่า สังคมไทยจะมีทางออก
แต่มันจะใช่เป็นทางออก
มันเป็นแค่ “ช่วงเวลาพัก” ของสังคมไทยเท่านั้น (แต่ก็มีคนอีกจำนวนมากไม่ได้พัก เพราะต้องคอยตรวจสอบรัฐบาล และบ้างก็คอยล้มรัฐบาล)
เพราะขณะที่สังคมไทยอยู่ในช่วงเวลาพักเหนื่อย แต่คณะทหารไม่ได้พักไปด้วย พวกเขากำลังแก้ปัญหาของสังคม(ตามทัศนะของพวกเขา) ขณะเดียวกันก็กำลัง “ก่อร่างสร้างระบอบ” ของพวกเขาเองขึ้นมาด้วย เพื่อเข้าไปผสมผสานอยู่ในระบอบประชาธิปไตย (อย่างเดิมๆ) ซึ่งมีการเลือกตั้งเป็นสิ่งชูโรง
จะเรียกว่า “ระบอบ ค.ส.ช. ก็ได้”
สิ่งยืนยันความเห็นของผมก็คือ “พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นตัวแทนของระบอบ” ดังว่านี้เข้าไปเป็นผู้บริหารประเทศ ซึ่งก็อาจจะลงเลือกตั้งหรือไม่ก็ได้ เพราะรัฐธรรมนูญที่พวกเขาสร้างขึ้นมานั้นเปิดโอกาสให้ “คนนอก” เป็นนายกรัฐมนตรีได้อยู่แล้ว แต่เพื่อ “ความสง่างาม” หลายคนก็คาดเดาว่าท่านจะลงเลือกตั้งในพรรคใดพรรคหนึ่ง หรือพรรคที่กำลังซุ่มซ่อนดำเนินงานอยู่ ส่วนผมไม่ทราบ
ผมทราบแต่ว่า...แม้ พล.อ. ประยุทธ์จะไม่ลงเลือกตั้ง ท่านก็มีพรรคสนับสนุนอยู่แล้ว นั่นคือ “พรรควุฒิสมาชิก!”
เมื่อเป็นดังนี้การเมืองไทยและระบอบประชาธิปไตยก็ไม่ได้เป็น “ทางออก” ของสังคมไทยอยู่ดี ถ้าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลว่าจะสามารถทำให้ระบอบประชาธิปไตยตอบสนองความต้องการของพลเมืองทั้งหมดได้หรือไม่
แต่ถ้าจะนำ “มาตรฐานการทำงานและนโยบายของรัฐบาลในปัจจุบันนี้มาพิจารณาและเล็งไปถึงอนาคต เป็นผมก็ไม่ได้หวังอะไรนัก โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ปัญหาสิ่งแวดล้อมปัญหาการยึดครองทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาคอรัปชั่น และปัญหาการศึกษา เป็นต้น นอกจากหวังว่าจะเกิดปาฏิหาริย์เล็กๆอันเกิดจากเหตุ – ปัจจัยในวันหน้าเท่านั้น
ผมไม่ได้พูดเรื่อง “ดีหรือไม่ดี” ที่รัฐบาล ค.ส.ช. ร่างรัฐธรรมนูญเอง วางยุทธศาสตร์ชาติเอง และจะเป็นรัฐบาลเองในวันหน้า แค่พูดถึง “ทางออกของการเมืองไทย” ที่ไม่ได้ออกไปไหน
รวมทั้งทางออกด้านเศรษฐกิจของพลเมืองในระดับ “ฐานราก” ด้วย
สรุปว่าพลเมืองไทยก็ยังคงมีชีวิตดิ้นรนขวนขวายกันไปตามกำลังของตน
เพราะระบอบการเมืองและเศรษฐกิจก็ยังวนเวียนอยู่อย่างเดิม
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี