คนไทยโชคดี ที่มีในหลวง รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ฯ พระทรงเป็นผู้ให้ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ท่าน ที่ทรงปฏิบัติภารกิจ 70 ปี ที่ทรงครองราชย์ ท่านทรงเป็นแบบอย่างในการทำงานหนัก พระจริยาวัตรของพระองค์ได้พิสูจน์แล้ว ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง ด้วยความรัก-ความเมตตาอันบริสุทธิ์ ที่พระองค์ท่านทรงมีต่อพสกนิกรชาวไทย ท่านจึงเป็นที่รักชองทุกคน ไม่เฉพาะชาวไทย แต่แผ่กว้างไปถึงชาวโลกทั้งมวลด้วย
พ่อครูโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก ได้ชี้ถึง เหตุที่คนไทยรักพระองค์ท่านมากมายขนาดนี้ เพราะท่านทรงมีสิ่งประเสริฐอยู่ในพระองค์เอง นั่นคือ “โลกุตรธรรม” เป็นธรรมะที่ไม่เห็นแก่ตัว ท่านทรงมีความรู้ มีปัญญา ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ที่แท้จริง..
“ ธรรมะที่อยู่ตัวพระองค์ ไม่มีตัวตน เป็นธรรมะที่ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ปัญญาโลกิยะ หรือเฉโก.. แต่เป็นปัญญาของโลกุตรธรรม....คนธรรมดาปุถุชน ยากที่จะเข้าใจ ยากที่จะรับรู้ความเป็นจริงตรงนี้ได้ ส่วนใหญ่ก็คาดเดากันไป ..”
“เหมือนปลาอยู่ในน้ำ ไม่เคยขึ้นมาบนบก ไม่รู้ว่าบนบกเป็นอย่างไร ...ได้แต่คาดเดาไป พูดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ฉันใดก็ฉันนั้น คนที่อยู่ในโลกโลกิยะ ก็คิดไม่ออก เดาไม่ถูก ไม่สามารถรับรู้ความจริง ที่เป็นความจริงที่แท้จริงได้ (Axiom ) “
“ท่านมีเลือดเนื้อของโลกุตระธรรมจริง ๆ เป็นพระโพธิสัตว์จริง ท่านตรัสไม่มาก แต่ทรงทำมากกว่า … 4,000 กว่าโครงการของพระองค์ท่านที่ทรงทำมาตลอด 70 ปี แห่งการครองราชย์ ประชาชนสัมผัสได้ เป็นชิ้นเป็นอัน ท่านทรงทำอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย ทรงเสียสละ ทรงรอบรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ มากมาย ทรงงานจริงจัง เป็นตัวอย่างให้พสกนิกรได้สัมผัส โครงการในวังสวนจิตร ฯ ที่ท่านประทับ ล้วนเป็นที่ยอมรับ.....สิ่งที่ท่านทำ ล้วนเป็นประโยชน์แก่มนุษยชาติ คนไทยรู้ซึ้งในงานเหล่านี้ดี..”
ท่านโพธิรักษ์ กล่าวว่า ที่คนไทยสามารถเข้าใจ และรับรู้ในโลกุตรธรรมได้ ก็เพราะคนไทยมีเนื้อของโลกุตรธรรมมาตั้งแต่ตั้งประเทศแล้ว มีธาตุรับรู้ได้ จึงมาสอดคล้องกันกับธรรมะของพระองค์ท่าน
“ เครื่องจูน มาตรงกันพอดี จึงผนึกกำลังกัน พระองค์จึงเป็นที่นับถือ ศรัทธาของประชาชน ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยด้วย ที่รับรู้ได้ถึงสิ่งนี้ ..”
นอกจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีโลกุตรธรรม คือธรรมะที่หมดความเห็น
แก่ตัวแล้ว ท่านยังมีความเพียร อุตสาหะ ทรงทำเพื่อคนอื่นอย่างแท้จริง และอย่างจริงใจ
“สิ่งที่อยู่ในพระองค์ท่าน เป็นสิ่งประเสริฐสุด เป็นโลกุตรธรรม เป็นผลผลิตใหม่ ที่คนทั้งโลกกำลังแสวงหา เป็นที่ต้องการสูงสุดของโลกด้วย...ไม่มีขายที่ไหน หาซื้อไม่ได้ แต่ต้องผ่านการฝึกฝน ปฏิบัติจริง จึงจะได้มา...”
พระราชบิดาของพระองค์ คือพระบรมชนกนาถ กรมหลวงสงขลานครินทร์ ทรงปฏิบัติตนเป็นแบบอย่าง จากคำสอนของพระราชบิดา ...ให้ยึดถือผลประโยชน์ส่วนรวมมาเป็นที่หนึ่ง เอาประโยชน์ตนเองเป็นที่สอง... ได้ซึมซับอยู่ในใจพระองค์มาแต่เยาว์วัย ทั้งพระมารดา คือสมเด็จย่า ก็ทรงสอน และปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่งดงาม จนได้พระราชาผู้ทรงธรรมในทุกวันนี้
“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” พระราชดำรัสของพระองค์ท่านในวันขึ้นครองราชย์ เมื่อ 70 ปีก่อน ซึ่งท่านทรงปฏิบัติได้จริง
“ แม้ประชาชนจะยังไม่ลึกซึ้งในคำสอน และการปฏิบัติของพระองค์ ในตอนนั้น แต่ตอนนี้ ถือว่าประชาชนได้รับรู้แล้ว ทุกคนที่รับรู้ จึงต่างปวารณา จะเดินตามรอยพระองค์ท่าน.. “
“ในห้วงวัฏฏสงสาร ผู้คนต่างเวียนว่ายตายเกิดบนโลก เมื่อผู้คนมีความทุกข์ยากเดือดร้อน เพราะยังไม่พ้นซึ่งกิเลส พระโพธิสัตว์ก็จะอุบัติขึ้นมาเพื่อขจัด-ปัดเป่า..พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ อุบัติขึ้นมาสอดคล้องกับยุคสมัยพอดี..”
ในวโรกาส ที่คนไทยได้เกิดมาภายใต้พระบารมีของพระองค์ท่านแล้ว ก็ต้องรีบเร่งทำความดี เดินตามรอยพระองค์ท่าน
คำสอนเกษตรทฤษฎีใหม่ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่ท่านทรงชี้แนะมากว่า 30 ปีแล้ว ขณะนี้ได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า สามารถปฏิบัติได้จริง เป็นทางรอดของประเทศในเวลานี้ ไม่เฉพาะกับประเทศไทย แต่กับสังคมทั้งโลก ที่เต็มไปด้วยวิกฤต
“ความเห็นแก่ตัว มุ่งแต่เอารัดเอาเปรียบ แย่งชิง และทำร้าย-เบียดเบียนกัน โลภโมโทสัน ไม่สิ้นสุด นำมาซึ่งความรุนแรง ความสูญเสีย และความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ก็เพราะความไม่รู้จักพอนั่นเอง ...”
เมื่อมีผู้ทำลาย ก็ต้องมีผู้สร้าง สำหรับพระองค์ท่าน ทรงเป็นผู้สร้าง เป็นผู้ดับร้อนทุกข์เข็ญแก่อาณาประชาราษฎร์ ...
เมื่อเกิดทุกข์เข็ญ ภัยพิบัติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาวะแห้งแล้ง โครงการฝนหลวง ของพระองค์ท่านก็ได้ปัดเป่า... ไม่แต่ในประเทศเท่านั้น แต่กำลังถูกนำไปใช้แพร่หลายในประเทศต่างๆทั่วโลก ดับได้ทั้งภาวะโลกร้อน สังคมและการเมืองร้อน ที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ....
พ่อครูโพธิรักษ์ กล่าวว่า ในสังคมต้องมีสองสิ่งคู่กันเสมอ จะมีสิ่งเดียวไม่ได้ คือมีพลังบวก และลบ สองสิ่งจะขัดแย้ง เป็นพลังที่เสียดทานกัน ด้านหนึ่งเป็นฝ่ายปราบ ไม่ให้พลังชั่วขยาย แต่อีกด้านหนึ่งเป็นพลังเสริมสร้าง
“ต้องมีพระโพธิสัตว์ เป็นคู่ธรรมิกราช มีทั้งลักษณะบวก และลบ ปฏิกิริยาทั้งลบและบวก เป็นแรงเสียดทาน อันหนึ่งส่งเสริม อันหนึ่งขจัด คนเดียวทำไม่ได้ ต้องช่วยกัน ใครมีหน้าที่หลักก็ทำหน้าที่นั้นไป ในหลวงท่าน ทรงเป็นพลังบวก พลัง ส่งเสริม ท่านมีหน้าที่ในทางสร้างสรรค์ ท่านจึงนิ่มนวล อ่อนโยนและเมตตา ..”
ตอนนี้คนไทยรู้ค่าของโลกุตรธรรมแล้ว คือธรรมะที่ไม่เห็นแก่ตัวแม้แต่น้อย จึงมีความภาคภูมิใจ นับถือพระองค์ท่าน เป็นเสมือนพ่อ เมื่อท่านสวรรคตแล้ว ก็โหยหา ... ต่างก็ต้องการเดินตามรอยพระองค์ท่าน...
“สิ่งที่เราจะทำได้ในขณะนี้ ก็คือ ทำตามอย่างพระองค์ท่าน คือ ละ ลดกิเลส ลดความเห็นแก่ตัว ต้องทำลายล้างให้ได้ เริ่มจากทำจิตให้บริสุทธิ์ จากอกุศลจิต ล้างมันด้วยการมีปัญญา ความรอบรู้ เพื่อสลายกิเลส.. สิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสอน สวนทางกับกระแสทุนนิยมโลก ที่มุ่งเอาแต่กำไรสูงสุดเป็นหลัก..... เช่นคำสอนของพระองค์ท่าน ที่ว่า ...การขาดทุนของเรา เป็นกำไรของเรา ศาสตร์พระราชาอันลึกซึ้ง เป็นวิธีคิดที่เป็นบวก ทรงสอนให้เราต่อสู้กับกิเลส สอนให้รู้จักเสียสละ-แบ่งปันให้ผู้อื่น เพราะผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้เสียสละย่อมปิติในสุขที่ได้บำเพ็ญเพียร!..
นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ การเมือง ยอมรับว่าการพัฒนาประเทศที่ผ่านมากว่า 40 ปี ไม่ได้เข้าใจหลักคิด และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระองค์ท่าน รัฐบาลแต่ละยุคที่ผ่านมา มักเดินตามกระแสทุนนิยมโลก ที่มุ่งแสวงหากำไรสูงสุด ...แต่คำสอนของพระองค์ท่าน ไม่มีในตำรา ...
นักวิชาการที่จบจากต่างประเทศ มักถูกครอบงำด้วยระบบคิดแบบบทุนนิยม ที่เน้นกำไรสูงสุด ทำให้เกิดความโลภ การไม่รู้จักพอ มุ่งเอากำไรมาก ๆ ไม่คำนึงถึงหลักศีลธรรม และสำนึกผิดชอบชั่วดี ป่าไม้จึงถูกทำลายทั่วโลก สิ่งแวดล้อม แร่ธาติและทรัพยากรธรรมชาติ ถูกแย่งชิงไปเป็นประโยชน์ส่วนตน การพัฒนาที่เอาแต่เมือง ทิ้งคนชนบท ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญให้เกิดวิกฤติต่าง ๆตามมา เช่น ช่องว่างของคนในสังคมถ่างกว้าง การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ภาวะน้ำท่วม น้ำขาด และแล้งไม่สิ้นสุด เพราะการพัฒนาที่ไม่ได้สมดุล
ในอดีตที่ผ่านมา หลายรัฐบาลเอาแต่การโกงกิน ไม่สนใจคำสอนของพระองค์ท่าน เข้ามาสู่การเมืองก็เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล ใช้อำนาจในทางฉ้อฉล แสวงหาผลประโยชน์เข้าพรรคพวก มากกว่าคิดถึงบ้านเมือง และส่วนรวม
การเมืองไทยกว่า 70 ปี ที่ล้มเหลวมา ส่วนสำคัญมาจากนักการเมือง เอาแต่ผลประโยชน์ ไม่ใส่ใจหลักคำสอนของพระองค์ เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระองค์ท่าน ก่อนเข้ารับตำแหน่ง ก็สักแต่พร่ำบ่น-ทำไปตามราชประเพณี ไม่ได้มีจิตสำนึก ไม่เคยน้อมนำไปปฏิบัติ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ กว่า 40 ปี สิบกว่าฉบับที่ออกมา ก็ไม่ได้เข้าใจในหลักคิด ของพระองค์ท่าน ส่วนใหญ่ลอกเลียนจาก ตำรานักวิชาการต่างประเทศ
บรรดาเท็คโนแครท ที่กลับมาจากต่างประเทศ เข้าทำราชการ ล้วนมีแนวคิดแบบตะวันตก ไม่รู้จักความเป็นจริงของสังคมประเทศไทย ไม่เอาความเป็นจริง เป็นตัวตั้ง การแก้ปัญหาจึงล้มเหลวตลอด
ขณะที่พระองค์ท่าน ไม่มีตำรา ทรงสอนการบริหารบ้านเมืองแบบคนจน ไม่ต้องไปเป็นเสือตัวที่ 5 คำสอนพระองค์ท่าน ให้เน้นการพึ่งตนเอง ไม่ต้องไปตามฝรั่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา
ขณะที่นักการเมืองแต่ละยุคที่เข้ามาเป็นรัฐบาล เต็มไปด้วยการคอร์รัปชั่นโกงกิน มักเน้นการกู้เงินจากต่างประเทศ จนหนี้สินติดลบ ต้องทำงบประมาณแบบขาดดุลทุกปี เพื่อมาชดใช้หนี้ และส่งเสริมประชาชนให้เป็นหนี้ มากกว่าจะรู้จักการประหยัด อดออม และพึ่งตนเอง
40 ปีของพัฒนาประเทศ ปรากฏว่า ยิ่งพัฒนา ประชาชนก็ยิ่งยากจนลง พึ่งตนเองไม่ได้ เกิดภาวะ “ รวยกระจุก จนกระจาย” คนไทยเพียง 20 % ที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งประเทศ ขณะที่คนส่วนใหญ่ 80 % ครอบครองทรัพย์สิน เพียง 20 % ปัญหายาเสพติดระบาดเกลื่อนเมือง กระจายทั่วประเทศ ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาสังคม และความรุนแรง นับวันวิกฤตมากขึ้น
นักการเมือง ต้องการแต่อำนาจมากกว่า มีสำนึกเพื่อชาติบ้านเมืองน้อย กระทั่งกล้าเผาบ้านเผาเมืองตนเอง เผาสถานที่ราชการ เพื่อ หวังทำลายฝ่ายตรงข้าม ที่ไม่สนองผลประโยชน์แห่งตน เป็นที่มาของการเมืองล้มเหลว มาถึงปัจจุบัน
บัดนี้ ได้วาระที่ประเทศชาติ ควรจะก้าวพ้นวิกฤตได้แล้ว ควรให้คำสอนในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ซึมซับเข้าไปในจิตสำนึก ของนักการเมือง ข้าราชการบ้าง
อย่าเป็นนักการเมือง ที่ดีแต่พูด รับปากไปเรื่อยเปื่อย ไม่เคยทำตามที่พูด ไม่เช่นนั้น คงไม่เกิดปรากฎการณ์ สองอดีตนายกรัฐมนตรีไทย หลบหนีคดีไปต่างประเทศ เมื่อถูกตรวจสอบพบการทุจริต ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก
พ่อครูโพธิรักษ์ แห่งสันติอโศก ปัจจุบันอายุย่าง 84 ปี ได้นำพาชาวอโศกทำในสิ่งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงสอนมาโดยตลอด โดยไม่โฆษณา แต่ปฏิบัติจริง เห็นผลจริง แม้ยังจะไม่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป จนเป็นกระแสหลักของสังคม แต่พ่อครูก็ไม่ท้อ มุ่งมั่นจะทำต่อไป เชื่อว่าความจริง ก็ต้องเป็นความจริงวันยังค่ำ ในที่สุดสิ่งต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ คลี่คลายไปสู่สิ่งที่ดีกว่า....
โครงการ “จิตอาสา..เราทำความดีด้วยหัวใจ “ อันเป็นการเจริญรอยตามในหลวงรัชกาลที่ 9 ในการบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน อย่างเป็นรูปธรรม ได้รับการชื่นชมอย่างดียิ่ง เฉพาะในกทม. เพียงเดือนเดียว ประชาชนสมัครใจเข้าร่วมนับแสนคน
รักในพระองค์ท่าน ต้องเดินตามรอยพระองค์ท่าน ทำคำสอนให้ปรากฎเป็นจริง จึงจะถือว่ารักพระองค์ท่านอย่างแท้จริง ให้พระองค์ท่าน สบายพระทัย เชื่อมั่นในพสกนิกรของท่านว่า เราจะเป็นคนดีจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่รับปากอย่างที่แล้ว ๆ มา...
อัมพา สันติเมทนีดล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี