จู่ๆเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ นายทหารปฏิบัติการ ประจำกองบัญชาการกองทัพบก ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายกฏหมายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งได้รับมอบหมายจากหัวหน้าฝ่ายกฏหมายคสช.ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนสน.ปทุมวันเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 5 (รองผบก.น.5) ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 ของประมวลกฏหมายอาญา
ทั้งนี้ฝ่ายกฏหมายคสช.กล่าวหาว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ขับรถยนต์ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอมพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ หลบหนีไม่ไปฟังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าวของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งๆที่ทราบอยู่แล้วว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้รับการประกันตัวปล่อยตัวชั่วคราว แต่กลับไม่จับกุมตัวนำตัวไปฟังคำพิพากษา ซ้ำขับรถพาหลบหนี
การเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษของทีมกฏหมายคสช.ครั้งนี้ถือเป็นการหักหน้าและกดดันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)โดยเฉพาะ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ซึ่งรับผิดชอบคลี่คลายคดีที่นายตำรวจกลุ่มหนึ่งพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนี ซึ่งจากผลการสอบสวนของทีมงานของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ในที่สุดได้ข้อสรุปแบบค้านสายตาสาธารณชนโดยชี้ว่า ไม่สามารถดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ตามมาตรา 157 โดยอ้างว่าการตรวจสอบดีเอ็นเอภายในรถโตโยต้าคัมรี่ซึ่งเป็นพาหนะที่ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนีไม่สามารถพิสูจน์แยกแยะดีเอ็นเอได้เนื่องจากมีดีเอ็นเอปนเปื้อนจำนวนมาก
ข้ออ้างผลตรวจสอบที่ระบุว่าไม่สามารถแยกแยะดีเอเอ็นภายในรถโตโยต้าคัมรี่ได้สร้างข้อสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะหากเปรียบเทียบกับคดีสะเทือนขวัญฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี นักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยมหิดลเมื่อปี 2541 ซึ่งตำรวจสืบสวนจนสามารถจับกุม นายเสริม สาครราษฏร์ นักศึกษาแพทย์โรงพยาบาลวชิระ ซึ่งเป็นแฟนหนุ่มโดย นายเสริม สารภาพว่าได้หั่นศพของ น.ส.เจนจิรา แล้วนำไปทิ้งในบ่อเขรอะกลางกรุง ซึ่งต่อมาตำรวจได้ขอให้ พ.ญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ อดีตผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการพิสูจน์ดีเอ็นเอจากชิ้นเนื้อเยื่อที่ย่อยสลายและปะปนอยู่กับสิ่งปฏิกูลต่างๆที่พบในบ่อเขรอะ ซึ่งในที่สุดจากการพิสูจน์ดีเอ็นเอก็สามารถยืนยันได้แน่ชัดว่าชิ้นเนื้อที่พบในบ่อเขรอะเป็น น.ส.เจนจิรา นำไปสู่การปิดคดีฆ่าหั่นศพสะเทือนขวัญคดีนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าขนาดเมื่อ 20 ปีที่แล้วซึ่งวิทยาการด้านนิติเวชและการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอยังไม่ก้าวหน้าทันสมัยเช่นปัจจุบันก็ยังสามารถแยกแยะดีเอ็นเอจากชิ้นส่วนศพที่ย่อยสลายเพื่อยืนยันอัตลักษณ์บุคคลได้ ทำให้เกิดข้อน่าสงสัยการตรวจดีเอ็นเอภายในรถโตโยต้าคัมรี่ซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อนกลับไม่สามารถพิสูจน์ดีเอ็นเอของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้
ข้อสรุปผลการสอบสวนที่ไม่สามารถเอาผิดกับ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ด้วยมาตรา 157 ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตุว่า สตช.ส่อพฤติการณ์ช่วยเหลือพวกเดียวกันเองหรือไม่ โดยขณะนี้โทษความผิดของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เหลือเพียงข้อหาใช้ทะเบียนรถปลอมและโทษทางวินัยซึ่งมีตั้งแต่ว่ากล่าวตักเตือนไปจนถึงไล่ออก
พฤติการณ์ที่น่าสงสัยอีกประการหนึ่งในการหนีอย่างลอยนวลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็คือ ขณะที่องค์กรตำรวจไทยขอความร่วมมือไปยังองค์กรตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลเพื่อให้ช่วยติดตามร่องรอยเพื่อจับกุม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ขณะนี้หนีไปอย่างไร้ร่องรอยตามคำสั่งศาล แต่กลับมีข่าวว่าตำรวจไทยพัวพันกับการพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ หลบหนีซึ่งสร้างความงุนงงต่ออินเตอร์โพลและน่าอับอายเป็นอย่างมากสำหรับองค์กรตำรวจไทย และอาจด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกที่เสียงเรียกร้องให้คสช.ปฏิรูปตำรวจครั้งใหญ่มีน้ำหนักยิ่งขึ้นเพราะพฤติการณ์ขององค์กรตำรวจในสายตาประชาชนตลอดช่วงที่ผ่านมาถูกมองในด้านลบไม่เป็นที่น่าเชื่อถือมาตลอด
หลังจากที่ทีมกฏหมายคสช.เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีอาญากับ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เพียงข้ามวัน รองโฆษก สตช.เหมือนจะแก้เกี้ยวด้วยการรีบออกมาแถลงข่าวความคืบหน้าในการ
ติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยกล่าวเพียงว่าจนขณะนี้อินเตอร์โพลก็ยังไม่พบร่องรอยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่อย่างใด
แต่ที่น่าสงสัยยิ่งกว่าก็คือหลังพนักงานสอบสวนออกหมาเรียก พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เพื่อให้มารับทราบข้อกล่าวหาจากการกล่าวโทษร้องทุกข์ของทีมกฏหมายคสช. ปรากกว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ ไม่มารับทราบข้อกล่าวหาท่ามกลางข่าวลือสะพัดว่าเผ่นหนีออกนอกประเทศไปแล้ว
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจึงมีข้อน่าสังเกตุว่า การที่ทีมกฏหมายของคสช.ร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อให้เอาผิดทางอาญากับ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ครั้งนี้เหมือนเป็นการหักหน้ากดดันฝ่ายตำรวจแต่ก็ถูกฝ่ายสีกากีหักเหลี่ยมปล่อยให้ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์หนีหมายเรียกไปอย่างลอยนวลทำให้ต้องจับตากันต่อไปถึงอนาคตของบิ๊กสีกากีบางคนที่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี