ชาวคริสต์ ยิวและชาวมุสลิมเชื่อว่าแผ่นดินทุกตารางนิ้วในเยรูซาเล็มนั้นเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ เพราะเป็นแหล่งกำเนิด 3 ศาสนาในโลก คือ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์และอิสลาม น่าเสียดายที่แผ่นดินอันควรจะเป็นสถานที่ที่บริสุทธิ์นี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดและน้ำตามายาวนานนับพันปี
สำหรับชาวมุสลิมแล้ว เมืองเยรูซาเล็มคือศูนย์รวมจิตใจของชาวมุสลิมทั่วโลก เพราะนอกจากมัสยิดฮารอมในนครมักกะฮ์และมัสยิดนะบะวีย์ในมะดีนะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบียแล้ว มัสยิดอัล-อักซอในเยรูซาเล็ม ถือเป็นมัสยิดที่มีความสำคัญที่สุดเป็นลำดับ 3 ของศาสนาอิสลาม เพราะเป็นสถานที่ที่ศาสดามุฮัมมัดละหมาดก่อนที่จะถูกรับขึ้นสวรรค์
สำหรับชาวยิว เยรูซาเล็มคือที่ตั้งของ The Temple Mount หรือพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสร้างโดยศาสดาโซโลมอน ส่วนชาวคริสต์นั้นเนื่องจากเป็นเมืองที่พระเยซูคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ที่ภูเขามะกอกเทศและกลับลงมาบนแผ่นดินโลกที่เมืองแห่งนี้
เมืองนี้ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ อีกทั้งยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่มีประวัติศาสตร์เกี่ยวพันกัน 3 ศาสนาหลักของโลก น่าแปลกที่ว่าประวัติศาสตร์แห่งเยรูซาเล็มกลับชุ่มไปด้วยเลือดและความตายเสมอมา ช่วงที่หนักหนาสาหัสคือช่วงสงครามครูเสดที่ทำสงครามกัน 8 ครั้ง กินระยะเวลานานกว่า 200 ปี มีผู้คนล้มตายกว่า 7,000,000 คน
ดังนั้นทุกประเด็นเกี่ยวกับเยรูซาเล็มล้วนแต่เป็นประเด็นเปราะบางทั้งสิ้น เพราะเกี่ยวพันกับหลายประเทศและมีเรื่องความเชื่อถือศรัทธาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์เพิ่งสาดน้ำมันลงไปในกองไฟจนลุกไหม้ภูมิภาคอาหรับอีกครั้ง
เมื่อปี 1995 สภาคองเกรสได้ผ่านร่างกฎหมาย Jerusalem Embassy Act ซึ่งกำหนดให้อเมริการับรองเยรูซาเล็มให้เป็นเมืองหลวงอิสราเอลรวมถึงการย้ายสถานทูตไปตั้งที่นั่นด้วย แต่ขณะเดียวกันก็อนุญาตให้ประธานาธิบดีสามารถเลื่อนการบังคับใช้ออกไปก่อนได้ หากมีเหตุอันจะกระทบต่อ “ความมั่นคงของชาติ” ประธานาธิบดีทุกคนตั้งแต่ บิล คลินตัน จนถึงโอบามา ต่างใช้อำนาจสั่งเลื่อนการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้มาโดยตลอด เพราะเห็นว่านี่คือเรื่องที่จะก่อให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับโลกอาหรับ
อิสราเอลยึดเมืองเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออกซึ่งเป็นย่านคนอาหรับระหว่างสงคราม 6 วันในปีค.ศ. 1967 หรือเมื่อ 50 ปีก่อน และประกาศในปี ค.ศ. 1980 ว่าเมืองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงตลอดกาลของอิสราเอลอันจะแบ่งแยกมิได้ ขณะที่ชาวปาเลสไตน์เองก็ต้องการได้เยรูซาเลมฝั่งตะวันออกเป็นเมืองหลวงของรัฐปาเลสไตน์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
ผู้นำหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ จอร์แดน สหภาพยุโรป ฝรั่งเศส เยอรมนี และตุรกี ต่างออกมาเตือนลุงแซมว่าไม่ควรเข้าไปแทรกแซงสถานะของเยรูซาเล็มเป็นอันขาด แต่ทรัมป์ก็ยักไหล่ไม่แคร์ จากนั้นก็เดินหน้าทำในสิ่งที่สัญญาไว้กับบรรดาฐานเสียงและผู้บริจาคสายอนุรักษนิยมที่เทคะแนนให้ลุงแกได้นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีแบบไม่แคร์โลก
ในขณะที่ชาวโลกโห่ฮาด่าทอ แต่ตาเฒ่าหัวดื้ออย่างทรัมป์ก็ไม่รู้ไม่ดูไม่แคร์ แม้ชาวโลกจะตะโกนบอกลุงแกว่า ความเป็นไปของเยรูซาเล็มจะต้องเกิดจากกระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างชาวยิวและปาเลสไตน์เท่านั้น ลุงแซมอย่าได้เผือกหรือเสนอหน้าไปสาระแนอย่างเด็ดขาด
คิดหรือว่าพวกปาเลสไตน์จะยอมแต่โดยดี ยังไม่ทันที่ป๋าทรัมป์จะประกาศรับรองอะไรทั้งนั้น ปาเลสไตน์ก็ประท้วงไปแล้ว ด้วยการจุดไฟเผาภาพทรัมป์ที่จัตุรัสในเมืองเบธเลเฮมเขตเวสต์แบงก์ หลังรู้ว่าลุงแซมจะเข้ามาวุ่นวายจุ้นจ้านย้ายสถานทูตอเมริกาจากกรุงเทลอาวีฟไปเยรูซาเล็ม
ไม่ว่าชาวโลกหรือบรรดาผู้นำชาติไหนจะตะโกนบอกหรือยื่นมือมาสะกิดเตือน ลุงทรัมป์ก็ยังทำหน้ามึนประกาศรับรองให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล โดยไม่แยแสแม้นโนบายที่ผู้นำอเมริการายอื่นพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด เพราะไม่อยากเป็นผู้ก่อชนวนสงครามในตะวันออกกลาง
แล้วศึกวันทรงชัยก็มาถึงในวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ป๋าทรัมป์ลอยหน้าแถลงรับรองเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล และจะย้ายสถานทูตอเมริกาไปตั้งที่นั่น ป๋าแกให้เหตุผลว่า
“อิสราเอลคือประเทศเอกราช มีสิทธิเหมือนประเทศเอกราชอื่นๆ ในการตัดสินใจเลือกเมืองหลวงของตนเอง การยอมรับสิ่งนี้ในฐานะข้อเท็จจริงเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับบรรลุเป้าหมายสันติภาพ นี่คือเวลารับรองเยรูซาเล็มในฐานะเมืองหลวงของอิสราเอลอย่างเป็นทางการ นี่คือสิ่งถูกต้องที่ต้องทำ”
สาดน้ำมันลงไปในกองไฟยังไม่พอ ป๋าทรัมป์ยังทำหน้ามึนขอร้องอีกว่า ขอให้ทุกฝ่ายอยู่ในความสงบ ละเว้นความรุนแรงและอดทนอดกลั้น อย่าให้ผู้ปลุกปั่นความเกลียดชังใดๆ มีชัยชนะเหนือไปได้
ทรัมป์คงลืมไปแล้วมั้งว่าตัวเองนั่นแหละที่ยื่นมือไปราดน้ำมันแถมจุดไฟเพิ่มให้อีก ก่อนเดินหัวเราะกิ๊กกั๊กจากไป ทิ้งระเบิดตูมตามไว้ข้างหลังแบบฉากหนังฮอลลีวู้ด ท่ามกลางสายตาจ้องเขม็งอย่างไม่พอใจของบรรดาอาหรับทั้งหลาย
เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลร้องจุ๊กกรูตีปีกอย่างดีใจระรื่นขึ้นมาทันตาเห็นจนแทบร้องเพลง Hava Nagila ซึ่งเป็นเพลงที่ให้อารมณ์ประมาณเพลงรำวงของไทยออกมาดังๆ จนทำเนียบขาวสะกิดเตือนว่าอย่าให้ออกนอกหน้านัก ในขณะที่มาห์มูด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ประกาศด้วยสีหน้าบูดบึ้งว่า ทรัมป์ทำลายหลักการดำรงอยู่ของสองรัฐเคียงคู่กัน และเตือนว่าอย่าได้หวังเป็นคนกลางกระบวนการสันติภาพอีกต่อไปเลย (วะ)
ประเทศมุสลิมทั่วโลกออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยทันที แม้แต่จอร์แดนที่ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นลูกหาบของลุงแซมในภุมิภาคนี้ ยังกล้าออกมาชี้หน้าลุงแซมแล้วด่าอย่างไม่ไว้หน้า ไม่ยอมรับในสิ่งที่ทรัมป์เพิ่งประกาศไปหมาดๆ เช่นเดียวกับประเทศมุสลิมอื่นๆ ที่ไม่ยอมรับเช่นกัน ถึงขั้นสมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์แห่งจอร์แดนทรงเตือนว่า สิ่งที่ทรัมป์ทำจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงจากทั่วตะวันออกกลาง
กลุ่มฮามาสหัวร้อนกว่าเพื่อน ลุกขึ้นเรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์ทำ “อินติฟาเฎาะฮ์” หรือการก่อการลุกฮือขึ้นสู้รอบใหม่ ชาวปาเลสไตน์เลยออกมาชุมนุมกันอย่างคับคั่ง กองกำลังของอิสราเอลที่เตรียมรับสถานการณ์ก็ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม มีรายงานว่ากองกำลังยิวใช้อาวุธทุกอย่าง ทั้งแก๊สน้ำตา, กระสุนยาง และกระสุนจริงจนมีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 2 รายและบาดเจ็บจำนวนมาก ในเขตเวสต์แบงค์ชาวปาเลสไตน์หลายสิบคนพากันใช้ก้อนหินปาเข้าใส่ทหารอิสราเอล แต่ก็ถูกตอบโต้ด้วยแก๊สน้ำตาและอื่นๆ ตามแต่ที่กองทัพยิวจะจัดให้
กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนสนับสนุนให้เกิดการลุกฮือต่อต้านในปาเลสไตน์ แล้วขยายการต่อต้านให้ใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุดและร้ายแรงที่สุด เพื่อตอบโต้การตัดสินใจของอเมริกัน นอกจากนี้มีมุสลิมร่วมประท้วงทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในจอร์แดน, ตูนิเซีย, โซมาเลีย, เยเมน, มาเลเซียและอินโดนีเซีย หลังจากทรัมป์ประกาศรับรองแค่ 2 วัน ก็มีการยิงจรวดลึกลับ 3 ลูกออกจากฉนวนกาซาไปยังอิสราเอลในยามราตรี เจอจัดหนักแบบนี้ กองทัพยิวเลยขี่เครื่องบินรบไปถล่ม ผลคือมีคนบาดเจ็บอย่างน้อย 25 คน
จะว่าไปก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจากผลประโยชน์ล้วนๆ อย่าลืมว่าลูกเขยสุดหล่อของตาทรัมป์ที่ชื่อ เจเร็ด คุชเนอร์นั่นเป็นยิว แถมพ่อของคุชเชอร์ยังเป็นเพื่อนซี้กับนายกรัฐมนตรีอิสราเอลเสียด้วย ที่ลืมไม่ได้คือพ่อของคุชเชอร์มีสายสัมพันธ์อันดีกับซาอุดิอาระเบีย โดยเฉพาะเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดิอาระเบีย อันซาอุดิอาระเบียนั้นเป็นลูกหาบอันดับหนึ่งของลุงแซมมายาวนาน ลุงแซมจึงเมินตอร์แดนแล้วย่องไปจู๋จี๋กับซาอุดิอาระเบียพร้อมยื่นข้อเสนอบางอย่างลับๆ ให้
เรื่องนี้มีเงื่อนงำแน่นอน เพราะดูแล้วอาจจะมีการซุบซิบนอกรอบ ในการเสนอแผนสันติภาพที่ไม่เป็นธรรมต่อชาวปาเลสไตน์ เพื่อแลกกับการหนุนหลังของอเมริกา และนำไปสู่ความร่วมมือระหว่างรัฐอ่าวอาหรับกับอิสราเอลเพื่อต่อต้านอิหร่าน คงต้องสืบเสาะกันต่อว่าจากนี้ว่าจะเป็นอย่างไร เมื่อทรัมป์ส่งวงแหวนแห่งไฟไปสู่ดินแดนอาหรับ จนลุกเป็นไฟไปทุกหย่อมหญ้าแล้วในเวลานี้
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี