บรรดาชาติตะวันตกโดยเฉพาะมหาอำนาจสหรัฐฯและสหภาพยุโรป(อียู)จากที่เคยสร้างภาพอ้างหลักการประชาธิปไตยต้านอำนาจรัฐที่มาจากการรัฐประหารตั้งป้อมต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.อย่างเอาเป็นเอาตายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 แต่มาบัดนี้เหล่ามหาอำนาจชาติตะวันตกกลับเปลี่ยนจุดยืนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังเท้า
นั่นเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นสัจจะธรรมที่ว่า การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์ ส่วนการอ้างหลักประชาธิปไตยและต่อต้านอำนาจรัฐที่มาจากการรัฐประหารของชาติตะวันตกแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงปาหี่สร้างภาพที่ซ่อนไว้ด้วยเบื้องหลังผลประโยชน์ทางการเมืองแอบแฝงทั้งสิ้น ซี่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
ตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นการเมืองแบบตีสองหน้าของชาติตะวันตก อาทิ มหาอำนาจสหรัฐฯที่หน้าฉากสร้างภาพสนับสนุนรัฐบาลที่มาตามวิถีทางประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร แต่ความจริงหลังฉากก็คือมหาอำนาจสหรัฐฯโดยเพนตากอนและซีไอเออยู่เบื้องหลังสนับสนุนการรัฐประหารและผลักดันผู้นำเผด็จการทรราชย์ขี้นคุมอำนาจในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งรัฐบาลเผด็จการทรราชย์ของไทยในอดีต
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มหาอำนาจสหรัฐฯจากที่เคยไม่ยอมรับสถานะของคสช.และสนับสนุนรัฐบาลธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอย่างรัฐบาลระบอบทักษิณ แต่เมื่อเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ กลับเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ไปเยือนมหาอำนาจสหรัฐฯอย่างเป็นทางการและเข้าพบหารือกันในทำเนียบขาวซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบหลายปีอันเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่ามหาอำนาจสหรัฐฯให้การยอมรับสถานะของรัฐบาลอันเป็นผลพวงจากการรัฐประหารของไทย และพร้อมจะกระชับความสัมพันธ์ของสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขี้น
ขณะที่ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีต่างประเทศของอียูมีมติที่จะปรับความสัมพันธุ์ด้านการเมืองกับไทยอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกหลังจากที่คสช.ยึดอำนาจมานานกว่า 3 ปี โดยคณะรัฐมนตรีต่างประเทศอียูยังคงยืนยันถึงความสำคัญของความสัมพันธุ์ระหว่างอียูและไทย อีกทั้งเล็งเห็นถึงคุณค่าของบทบาทที่ไทยมีในฐานะประเทศผู้ประสานการเจรจาและสนับสนุนการขยายความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศอียูกับอาเซียนในปัจจุบัน รวมทั้งมีความคืบหน้าในเรื่องสิทธิเสรีภาพและหลักสิทธิมนุษยชนต้องจนหลักประกันที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป
จากความคืบหน้าที่กล่าวมาข้างต้น คณะรัฐมนตรีต่างประเทศอียูจึงเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะเริ่มกลับมาปรับความสัมพันธ์ด้านการเมืองในทุกระดับกับไทยเพื่ออำนวยความสะดวกการเจรจาในประเด็นที่มีความสำคัญร่วมกัน โดยขอให้คณะกรรมาธิการยุโรปสำรวจความเป็นไปได้ในการกลับมาเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ)ระหว่างยุโรปกับไทยและการลงนามในกรอบข้อตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือเพื่อจะสามารถดำเนินการได้กับรัฐบาลพลเรือนที่ได้รับการเลือกตั้ง
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ให้ความเห็นว่าถือเป็นข่าวดีที่อียูปรับความสัมพันธ์ทางการเมืองกับไทยไปอีกขั้นหนึ่งซึ่งจะทำให้การติดต่อกันในทุกระดับที่เป็นทางการเดินหน้าไปได้ การแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับผู้นำระหว่างกันสามารถทำได้เลยโดยไม่มีการกีดกันเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุด จากนี้ไปคงได้เห็นการติดต่อกันมากขึ้นซึ่งจะเป็นผลดีต่อการลงทุนรวมทั้งการผ่อนคลายด้านการค้าระหว่างไทยกับอียู
จากท่าทีของชาติตะวันตกที่มีต่ออำนาจรัฐคสช.ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
ย่อมสะท้อนให้เห็นว่าโดยธาตุแท้แล้วบรรดาชาติตะวันตกคำนึงถึงเรื่องผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้รับมากกว่าอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างที่พยายามสร้างภาพ
การเปลี่ยนท่าทีของชาติตะวันตกด้านหนึ่งก็อาจเป็นเพราะเริ่มซึมซับมองเห็นสัจจะธรรมที่ว่า ประชาธิปไตยในแต่ละประเทศย่อมมีสภาพของปัญหาและต้องใช้วิธีการแก้ปัญหาที่แตกต่างและเหมาะสมกับแต่ละประเทศ ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้นช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาอยู่ภายใต้ระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทุ่มลงทุนและใช้ผลประโยชน์กลโกงทุกรูปแบบซื้อส.ส. ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐซื้อประเทศ ซื้อประชาธิปไตย และเมื่อได้อำนาจรัฐเป็นรัฐบาลก็ใช้อำนาจถอนทุนบวกกำไรโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬาร และใช้เสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมประพฤติชั่วร้ายตามใจชอบ จนเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาจากการออกมาแสดงพลังขับไล่ของมวลมหาประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ขณะเดียวกันชาติตะวันตกเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆว่า ปัญหาประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ล้มลุกคลุกคลานมาตลอดเกิดจากประชาธิปไตยจอมปลอมที่จำเป็นต้องแก้ด้วยอำนาจนอกวิถีทางประชาธิปไตย
ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นการสะท้อนว่า การที่ชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯกลับลำหันมาฟื้นความสัมพันธ์กับอำนาจรัฐคสช.ก็เนื่องจากมีเป้าหมายแอบแฝงทางการเมืองเนื่องจากไทย
เป็นประเทศทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเซียแปซิฟิค ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งทั้งทางด้านการทหารและเศรษฐกิจ ขณะที่มีแนวโน้มว่าคสช.จะอยู่ราวเพื่อวางรากฐานปฏิรูปประเทศให้มั่นคงไม่ให้กลับไปสู่วังวนของวจรอุบาทว์อันเลวร้ายซ้ำซาก ชาติตะวันตกโดยเฉพาะมหาอำนาจสหรัฐฯจึงต้องเปลี่ยนท่าทีหันมาฟื้นความสัมพันธ์กับไทยเพื่อหวังใช้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการแผ่ขยายอิทธิพลของมหาอำนาจสหรัฐฯและเหล่าชาติตะวันตก
เพราะฉะนั้นอย่าได้แปลกใจกับการเล่นบทการเมืองแบบสร้างภาพตีสองหน้าของมหาอำนาจสหรัฐและชาติตะวันตกที่พร้อมจะเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้ทุกเมื่อและพร้อมทำทุกวิถีทางเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและผลประโยชน์ของตัวเอ
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี