การเมืองเดินทางมาถึงวันนี้ มีสิ่งบอกเหตุชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า การเลือกตั้งตามโรดแมปที่ คสช. วางไว้ปลายปี 2561 อาจไม่เป็นไปตามนั้น เนื่องจากมีสัญญาณปรากฎหลายอย่าง เช่นมีการเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แก้ไข พรบ.พรรคการเมืองฉบับใหม่ เพื่อรีเซ็ทสมาชิกพรรคโดย กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ กับนายไพบูลย์ นิติตะวัน และมีการเตรียมการตั้งพรรคให้ทหาร และการออกมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตสส.ภาคเหนือ เสนอให้งดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อเปิดทางให้ สส.สมัครเลือกตั้งโดยไม่ต้องสังกัดพรรค ทั้งหมดนี้ แม้ไม่ได้บอกตรง ๆ ว่า เพื่อหนุนบิ๊กตู่ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป แต่เป็นที่รู้กันว่า ในช่วงการเมืองเปลี่ยนผ่าน บ้านเมืองยังไม่มีความสงบ การเมืองที่ไม่อาจวางใจได้ ว่าหากปล่อยให้มีการเลือกตั้งตามโรดแมปปลายปี 61 แล้ว ทุกอย่างจะไม่กลับไปสู่วงจรอุบาทว์ นำไปสู่รัฐล้มเหลว และไม่สามารถเดินหน้าการปฏิรูปประเทศ ตามทีฝ่ายต่าง ๆ หวังไว้ได้
นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาแฉแผนกำนันคนดังแห่งภาคใต้ แม้ไม่ได้ระบุชื่อ แต่ก็รู้กันว่าคือกำนันสุเทพ คนดังแห่ง กปปส. นั่นเอง ได้เตรียมการตั้งพรรคทหาร เพื่อหนุนบิ๊กตู่ เป็นนายกรัฐมนตรี
“ ...เมื่อยึดพรรคเดิมไม่ได้ ก็กล้าแม้กระทั่งรับงานจาก คสช. มาจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ให้ทหาร ก็จะอาศัยอำนาจพิเศษ คสช. รีเซ็ทสมาชิกพรรคการเมืองทั้งหมดทุกพรรค หากทุกคนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค กรมการบริหารพรรค ก็จะสิ้นสภาพไปด้วย อดีตสส.ทุกคนจะเป็นอิสระจากพรรค บรรดาลุง ๆ ก็จะไล่ช้อนอดีตสส.ไปสังกัดพรรคทหาร ...” นายวัชระ แฉ
...กลุ่มอดีตสส. ที่เดินแผนให้คณะทหารนี้ ถ้าไปดูเบื้องหลังแต่ละคนเคยได้ผลประโยชน์จากธนาคารของรัฐ จนบางแห่งล้มมาแล้ว....ไหนว่า คสช. จะเข้ามาปฏิรูปเศรษฐกิจ การเมือง แต่กลับไปสมคบ คิดสืบทอดอำนาจกับนักการเมืองพันธุ์เก่า เทงบประมาณสนองตอบต่อกลุ่มนี้อย่างเต็มที่
“บริหารประเทศมา 3 ปี แต่รายได้ประชาชนต่อครัวเรือนลดลง 1 ใน 3 ต่อเดือน แล้วยังละเมอคิดว่าตนเองมีฝีมือในการบริหารประเทศอีก...น่าเสียดายที่ทหารภาพลักษณ์ดีบางคนเสพติดอำนาจ เสพติดผลประโยชน์ แล้วเอาแต่ท่องคาถากูไม่โกง ๆ แต่ประชาชนเห็นว่าโกงกันทั้งประเทศ เขาก็ยังปกป้องกันแบบกิ่งทอง ใบหยก...”
ทหารกลุ่มนี้จึงสมคบคิดกับอดีตข้าราชการประจำ เจ้าสัว และนักการเมืองพันธุ์เก่า ดำเนินการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมา โดยชูนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นหัวหน้าพรรค และให้นายสถิต ลิ่มพงศ์พันธ์ เป็นเลขาธิการพรรค .... แล้วเอานโยบายประชารัฐของรัฐบาลมาเป็นชื่อพรรค ...ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือ อดีตกำนันคนดังของภาคใต้ เพื่อสานต่อภารกิจในการสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป...”
ทั้งนี้ พลเอกประยุทธ์ ท่านมีอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียวในประเทศไทย ตามมาตรา 44 มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ ปี 60 ท่านควรเลือกลงจากอำนาจให้สง่างาม ให้คนชื่นชม เหมือนตอนที่เข้ามาใหม่ ๆ...”
“หากพลเอกประยุทธ์ ไม่หนักแน่นพอ ไปเชื่อพวกปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ ก็จะมีสภาพไม่แตกต่างจากจอมพลประภาส จารุเสถียร กับพลเอก สุจินดา คราประยูร ...
โหร คสช. ไม่เตือนท่านบ้างหรือ จึงอยากขอร้องท่าน ทั้ง รศ. นภาพร จันทร์โอชา อดีตอาจารย์จุฬาฯ ได้โปรดให้คำแนะนำพลเอกประยุทธ์ บ้าง...อย่าผูกขาดความรักชาติ ไว้ที่พรรคทหารแต่เพียงผู้เดียว ...ที่ผ่านมาในประวัติศาสตร์ มีพรรคการเมืองเฉพาะกิจพรรคใดของทหารประสบความสำเร็จบ้าง มีแต่พวกนักการเมืองผีดิบแห่ไปร่วมดูดเลือดกันทั้งนั้น แต่ถ้าท่านจะตั้งพรรคจริง ๆก็ควรให้นายสมคิดลาออกทันที อย่าเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น อย่างที่กำลังทำอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่เป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองแต่ประการใด “
การออกมาแฉของนายวัชระ ถือเป็นการออกมาชน คสช. ครั้งแรก ของพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่หัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงความข้องใจ ต่อ นายสุเทพ และนายไพบูลย์ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ว่า ทำไมต้องขุดผีเซทซีโรพรรคการเมืองขึ้นมา ขอให้พลเอกประยุทธ์ ชี้แจงให้ชัดเจน ถึงเป้าหมายแห่งการเคลื่อนไหว เพื่อหวังเลื่อนเลือกตั้ง-ยุบพรรคการเมืองเก่า อุ้มชูพรรคใหม่ หรือเพื่ออะไร?
“ คสช. และรัฐบาลเป็นผู้เขียนกฎกติกา ด้วยตนเองทั้งนั้น แต่ทำไมตอนนี้ท่านไม่สามารถทำให้สถานการณ์บ้านเมืองให้เป็นไปตามที่พูดไว้ได้ ทำไมใม่ทำให้มีความโปร่งใส ถ้าท่านจะบอกว่าตอนนี้ยังเลือกตั้งตามโรดแมปไม่ได้ ท่านก็ต้องบอกว่า มีเหตุจำเป็นอะไร? เพราะหากปล่อยให้เกิดความคลุมเครือ ก็จะเป็นปัญหาในการสร้าง
ขั้วการเมืองขึ้นมาใหม่ “
“...ปัญหาตอนนี้คือ ท่านอยากแก้กฎหมาย หรืออยากจะยืดการเลือกตั้ง หรืออยากจะยุบพรรคการเมืองเก่า ขอให้พูดออกมาอย่างชัดเจนเลยดีกว่า ไม่ใช่ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ เช่นนี้ มันไม่เกิดความเชื่อมั่นต่อนานาชาติ และต่อสังคม ดังนั้นหากอยากจะยืดเวลาเลือกตั้ง ก็ประกาศมาเลยให้ชัดเจนพร้อมเหตุผลด้วย ...
นายอภิสิทธิ์แสดงความแปลกใจ ตอนที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ เสนอกฎหมายไปยัง สนช. ทั้งสองคนก็สนับสนุนตลอดเวลา แต่ตอนนี้กลับมาเสนอแก้ไข และยังไม่ระบุชัดว่าจะแก้อย่างไร?
“ขอตั้งคำถามว่า ท่านที่เสนอแก้ไขกฎหมายนี้ ทั้งที่เคยสนับสนุนผู้มีอำนาจมาโดยตลอด ผมเชื่อว่าวันนั้นท่านสนับสนุน แต่วันนี้ท่านบอกว่ามีปัญหา ผมขอถามว่ามีอะไรเปลี่ยนไประหว่างวันนั้นกับวันนี้ ...เพราะถ้าดูตามเนื้อหาสาระสิ่งเดียวที่เปลี่ยนคือ คสช. ไม่ปลดล็อคพรรคการเมือง จึงทำให้กฎหมายพรรคการเมืองเริ่มมีปัญหา แต่ส่วนตัวผมยังปฏิบัติได้อยู่ แม้ครบวันที่ 5 มกราคม ผมก็เชื่อว่ายังทำได้ ผมเชื่อว่าคนที่จะมีปัญหาคือพรรคการเมืองใหม่”
“ปัญหานี้ ทางออกคือปลดล็อคพรรคการเมือง โดยไม่จำเป็นต้องปลดล็อคทั้งหมด เพียงเปิดทางให้มีกฎเกณฑ์ให้พรรคการเมืองดำเนินการต่าง ๆ ตามกฎหมายได้ เพราะการมาเสนอแก้ไขกฎหมายใหม่ โดยอ้างว่าไม่มีความเสมอภาค ระหว่างพรรคการเมืองเก่า กับพรรคการเมืองใหม่ มองว่าไม่สอดคล้องกัน จึงเป็นคำถามว่าการจะแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองเพื่ออะไร ถ้าจะยืดเวลาเลือกตั้งคงไม่จำเป็น ต้องออกมาเคลื่อนไหวแก้กฎหมายตรงนี้”
นายไพบูลย์ นิติตะวัน ซึ่งเตรียมตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป หนุนพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ระบุเหตุที่ต้องแก้ พรบ. พรรคการเมือง เพื่อเป็นการปลดแอกจากการเมืองอุปถัมภ์ของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และตนไม่ได้มีการเตรียมการกันกับกำนันสุเทพ แต่ต้องการให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนทุกฝ่าย
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงข้อเสนอให้มีการแก้ไขพรบ. พรรคการเมืองว่า หากทำเช่นนี้จะต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโรดแมปอย่างแน่นอน สร้างความไม่เชื่อมั่นต่อคำมั่นสัญญาของผู้นำรัฐบาล ทั้งในและนอกประเทศ เพราะผู้นำรัฐบาลประกาศไปแล้วว่า จะมีการเลือกตั้งในปลายเดือนพฤศจิกายน 61
ด้านพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาดาหน้าอัด คสช. อย่างรุนแรง นายวัฒนา เมืองสุขได้โพสต์ในเฟสบุ๊คส่วนตัว โดยบอกว่า คนพวกนี้กลัวเลือกตั้งแล้วจะพ่ายแพ้แก่ประชาชน
“สมุนเผด็จการ จึงเสนอให้แก้ไขกฎหมายพรรคการเมือง ..กฎหมายทุกฉบับที่เกี่ยวกับการคืนอำนาจให้ประชาชน ล้วนเกิดจากเผด็จการเป็นผู้กำหนด ทั้งเงื่อนไข ระยะเวลา ด้วยวาทะกรรม โรดแมป แต่กลับไม่รักษาสัจจะ โจรห้าร้อยก่อนปล้น ยังหาสมุน และลงทุนซื้ออาวุธ ไม่ได้เอากำลังพล และอาวุธที่มาจากเงินภาษีของประชาชน มาปล้นประชาชน ได้ทรัพย์สินแล้ว ล่าถอยคืนสิทธิและเสรีภาพให้เจ้าทรัพย์ตามเดิม ทั้งยังไม่มีอภิสิทธิ์หากถูกจับได้ จะต้องติดคุกและทิ้งเชื้อโจรไว้ จำกัดเสรีภาพเจ้าทรัพย์ต่อ ซึ่งผิดกับบางพวก ที่ยึดอำนาจโดยใช้กำลังคน และอาวุธที่มาจากภาษีของประชาชน ไม่มีสัจจะ หนีความรับผิดชอบ แถมยังสร้างกฎเกณฑ์เพื่อสืบทอดอำนาจต่อ คนพวกนี้โจรห้าร้อยยังต้องเรียกพี่...” นายวัฒนา ระบุ
นายภูมิธรรม เวชชยชัย จากพรรคเพื่อไทย ก็ออกมาอัด คสช. การรีเซทสมาชิกพรรคการเมือง ที่กำลังมีการเสนอกันจากตัวละครเดิม ๆ ที่ล้วนเป็นผู้เอาการเอางาน มีบทบาทหลักในฐานะผู้สร้างเงื่อนไขให้เกิดการเข้ามายึดอำนาจ จากฝ่ายทหาร เพื่อล้มล้างรัฐบาลประชาธิปไตยจากการเลือกตั้ง ทั้งหมดล้วนเป็นคนหน้าเดิมที่ออกมาสร้างกระแสให้ความต้องการของพวกตนบรรลุไปอีกขั้น เพื่อกระชับอำนาจและเพื่อสืบต่ออำนาจต่อไป ...
นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการ พรรคภูมิใจไทย แสดงความไม่เห็นด้วย กับการแก้ไขให้ สส. ไม่ต้องสังกัดพรรคว่า เป็นข้อเสนอที่ถอยกลับไปสู่ความล้าหลัง ความล้มเหลวในอดีตที่ระบอบประชาธิปไตยเสื่อมโทรมลง เพราะสส.อิสระทำตัวไม่มีอุดมการณ์ พร้อมจะขายตัวแลกกับเงิน
ทางด้านนักวิชาการก็แสดงความแปลกใจ ว่าทำไมจึงมีข้อเสนอเรื่องดังกล่าวออกมาในช่วงนี้ เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่? โดยนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศ, รองคณบดีคณะนวํตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ข้อสังเกต “เป็นเรื่องที่เหมาะสมหรือไม่? เรื่องนี้มีความละเอียดอ่อนสูง ต้องจับตาไปที่ การตัดสินใจของ คสช. กรธ. และ สนช.”
นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ตั้งข้อสังเกตความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทั้งเรื่องการเสนอแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองและการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า เป็นทฤษฎีสมคบคิดเพื่อเลื่อนการเลือกตั้ง หรือไม่ให้มีการเลือกตั้ง โดยมีการคบคิดเป็นขั้นเป็นตอน แล้วจึงมีการส่งและรับลูกแบบแบ่งหน้าที่กันทำ เป็นเรื่องที่ผู้มีอำนาจมีอิทธิพลในบ้านเมืองคิด
นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า ปรากฎการณ์ที่พลเอกประยุทธ์ จะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น แม้รัฐธรรมนูญจะเปิดช่องให้ นายกฯมาจากคนนอกได้ก็ตาม แต่การใช้อำนาจรัฐเพื่อทำให้ฝ่ายตนเองได้เปรียบ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียเปรียบ ยิ่งจุดชนวนความขัดแย้งทางการเมือง และทำให้เกิดความคับแค้นใจมากขึ้นหรือไม่? จึงไม่แปลกที่ระยะหลัง เริ่มมีการยุให้พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคเพื่อไทยจับมือกัน สกัดนายก ฯ คนนอก และอาจร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลในวันข้างหน้าด้วยก็เป็นไปได้
“พฤติกรรมของรัฐบาลทหารชุดนี้ จึงไม่ต่างกับรัฐบาลอื่น ๆ ที่เมื่อมีอำนาจ ก็ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ้อง และหาช่องสืบทอดอำนาจ จุดชนวนความขัดแย้ง ซึ่งจะเป็นวงจรอุบาทว์การเมืองไทยอีกครั้ง..” นักวิเคราะห์การเมืองระบุ
ขณะที่รัฐบาล และ คสช. ก็มีจุดเพลี่ยงพล้ำมากขึ้น หลังบริหารประเทศมากว่า 3 ปี โดยเฉพาะพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบด้านความมั่นคง โดนกระหน่ำทั้งเรื่องนาฬิกาหรู และแหวนเพชร มูลค่านับล้าน โดยยังไม่สามารถชี้แจงให้สังคมหายข้องใจ ถึงที่มาที่ไปได้
ทั้งเรื่องการเสียชีวิตของ “น้องเมย” นักเรียนเตรียมทหารที่กองทัพแถลงผลสอบ สวน ก็ไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ ครอบครัวผู้เสียหาย ปฏิเสธไม่เดินทางไปรับฟังการแถลง แต่เดินหน้าเตรียมฟ้องร้องต่อศาล เพื่อหาความจริงต่อไป
ส่วนการเตรียมการจัดตั้งพรรคให้ทหาร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ออกมาปฏิเสธแล้วว่า “ ไม่มี … มี ที่ไหนพรรคทหาร .....”
“ ยังไม่มี ยังไม่เห็นอะไรเลย และไม่รู้เรื่องที่มีข่าวว่าจะให้นายสมคิด จาตุศรีพิทักษณ์ นั่งหัวหน้าพรรคทหาร “ ไม่มี ๆ ไม่รู้ ๆ ๆ ..” พลเอกประวิตร กล่าวกับผู้สื่อข่าว เมื่อถูกนักข่าวซักหนัก เรื่องการตั้งพรรคทหาร
ขณะที่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรี ก็ออกมาปฏิเสธ ทีจะมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคทหาร เมื่อพบกับผู้สื่อข่าว ได้แต่ส่ายหน้า พร้อมกับยิ้มให้ผู้สื่อข่าว “ ข้อมูลผิดมั้ง?... ผมอายุ 60 กว่าปีแล้ว ไม่มีอะไรหรอก นักข่าวคงได้ข้อมูลมาผิด ..”
การเมืองจะร้อนแรงมากขึ้น เมื่อใกล้ปี 61 เข้าสู่โรดแมปของการเลือกตั้ง แม้นายกฯประยุทธ์ จะยืนยันว่า ทุกอย่างยังเป็นไปตามโรดแมป ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่สังคมเริ่มไม่แน่ใจ ว่าจะมีการเลือกตั้งในปี61หรือไม่? ภาวะการเมืองต่อจากนี้ไปจะเข้มข้นและขมวดปมมากขึ้น ห้ามกระพริบตา เพราะไม่มีความแน่นอนสูง บนถนนแห่งการช่วงชิงอำนาจ...
อัมพา สันติเมทนีดล
เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี